ท่ามกลางเศรษฐกิจโลกที่กำลังเคลื่อนสู่ยุคเทคโนโลยีขั้นสูง งาน AI Innovation Summit 2025 ที่จัดขึ้นโดยความร่วมมือของ สถาบันวิศวกรรมปัญญาประดิษฐ์ (AI Engineering Institute – AIEI) ร่วมกับมหาวิทยาลัยซีเอ็มเคแอล (CMKL University) ณ Club Siam Glowfish กรุงเทพฯ เมื่อเร็ว ๆ นี้ สะท้อนภาพชัดว่า “ปัญญาประดิษฐ์ (AI)” ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพองค์กรอีกต่อไป แต่กำลังกลายเป็นโครงสร้างพื้นฐานใหม่ของเศรษฐกิจ และเป็นตัวชี้ชะตาความสามารถการแข่งขันของประเทศในระยะยาว ซึ่งงานนี้ได้กลายเป็นเวทีระดับชาติที่เชื่อมโยงนโยบายภาครัฐ ภาคอุตสาหกรรม ผู้เชี่ยวชาญระดับโลก สตาร์ทอัพ นักลงทุน และเยาวชนสายเทคเข้าด้วยกัน เพื่อร่วมกันถกประเด็นสำคัญว่า ประเทศไทยจะทำให้ AI ก้าวพ้นจากการเป็น “เทรนด์เทคโนโลยี” ไปสู่การเป็น “โครงสร้างพื้นฐานของชาติ” ที่แข่งขันได้ รับผิดชอบต่อสังคม และยึดมนุษย์เป็นศูนย์กลาง พร้อมกับการสร้างกำลังคนด้าน AI รุ่นใหม่ในทุกระดับได้อย่างไร ภายใต้ธีม “Enabling Endless Possibilities with AI – ขับเคลื่อนทุกความเป็นไปได้ด้วยปัญญาประดิษฐ์”
สภาอุตสาหกรรมฯ ชี้ไทยกำลังเป็น “รถที่ติดหล่ม” หากไม่เร่งเครื่องด้วย AI และดิจิทัล
หนึ่งในปาฐกถาที่สร้างแรงสั่นสะเทือนในงานโดย คุณเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (FTI) ในหัวข้อ “Go Digital & AI for Thai Industries” ที่ได้เผยภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันว่าเปรียบเสมือน ‘รถที่กำลังติดหล่ม’ ซึ่งปัจจุบัน GDP เติบโตเฉลี่ยไม่ถึง 2% สวนทางกับเพื่อนบ้านอย่างเวียดนาม อินโดนีเซีย และมาเลเซีย ที่เติบโตระดับ 5-7% สอดคล้องกับ IMF คาดการณ์ว่า ภายในปี 2030 เศรษฐกิจไทยจะร่วงลงไปอยู่อันดับ 5 ของภูมิภาค นำหน้าเพียงประเทศกลุ่ม CLMV (เมียนมา กัมพูชา ลาว) และบรูไนเท่านั้น โดยคุณเกรียงไกรชี้ว่า การเติบโตล่าช้าของไทยมาจากปัญหาเชิงโครงสร้าง 6 ประการ ทั้งสังคมผู้สูงวัย การติดกับดักรายได้ปานกลาง เสถียรภาพทางการเมือง งบประมาณไม่สมดุล กฎหมายที่ล้าสมัย และระบบการศึกษาที่ผลิตคนไม่ตรงความต้องการตลาดยุคใหม่ นอกจากนี้ ไทยยังเผชิญกับปัจจัยลบใหม่ที่เข้ามาซ้ำเติมสถานการณ์ปี 2568-2569 ไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วมภาคใต้ ประเมินความเสียหายที่อาจสูงถึง 9 หมื่นล้านบาท วิกฤตชายแดนกัมพูชา ที่ทำให้กิจกรรมการค้าหายไปถึง 99.5% อัตราว่างงาน Q2 2025 พุ่งแตะ 2.1% สูงสุดในรอบ 2 ปีโดยเฉพาะในกลุ่มเด็กจบใหม่
ท่ามกลางวิกฤต คุณเกรียงไกรได้เสนอทางรอดผ่านยุทธศาสตร์ “4 Go” เพื่อยกเครื่องอุตสาหกรรมไทย ได้แก่ “Go Digital & AI” เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตทดแทนแรงงานที่ขาดแคลน, “Go Innovation” เปลี่ยนจากการรับจ้างผลิต (OEM) มาสู่การสร้างนวัตกรรมเอง, “Go Global” เชื่อมต่อกับซัพพลายเชนโลก และ “Go Green” เพื่อความยั่งยืน และทิ้งท้ายด้วยข้อมูลแห่งความหวังว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2025 ยอดขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ในกลุ่มอุตสาหกรรมดิจิทัลพุ่งสูงขึ้นถึง 551% ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนทั่วโลกกำลังมองเห็นศักยภาพของไทยหากเราสามารถปรับตัวได้ทัน โดยเป้าหมายสูงสุดของการยกเครื่องในครั้งนี้คือการขับเคลื่อนไทยสู่การเป็น Next-Generation Industry ที่มุ่งเน้นการลงทุนใน 3 อุตสาหกรรมแห่งอนาคต ได้แก่ S-Curve, BCG, และ Climate Change ผ่านความร่วมมือของ 3 ภาคส่วน โดยมีเอกชนเป็นแกนหลัก รัฐเป็นผู้สนับสนุน และภาคการเงินเป็นผู้จัดสรรทุนอย่างมีประสิทธิภาพ
กระทรวงการคลังแนะยุทธศาสตร์ “ใช้ปัญญานำทุน” พลิกโฉมโมเดลเศรษฐกิจ
ด้าน ดร.พณชิต กิตติปัญญางาม ผู้แทนรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้ขึ้นกล่าวปาฐกถาพิเศษ โดยเน้นย้ำว่า “เศรษฐกิจใหม่” ซึ่งกำลังถูกขับเคลื่อนด้วย ‘ปัญญา’ (Intelligence) มากกว่า ‘แรงงาน’ (Labor) และ ‘เงินทุน’ (Capital) แบบเดิม พร้อมชี้โจทย์เร่งด่วนของประเทศ ตั้งแต่การยกระดับโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล (Digital Infrastructure) และระบบนิเวศข้อมูล ไปจนถึงการมองการลงทุนด้านศูนย์ข้อมูล (Data Center) ในมิติยุทธศาสตร์ทั้งห่วงโซ่อุปทาน ไม่ใช่แค่สถานที่เก็บข้อมูล แต่เป็นตัวเร่งการพัฒนาเทคโนโลยีต่อเนื่อง ตั้งแต่ระบบทำความเย็น ระบบบำบัดน้ำ ไปจนถึงการจัดการ e-waste เพื่อมุ่งสู่โครงสร้างพื้นฐานสีเขียวและรองรับการใช้งาน AI ขั้นสูงในอนาคต
ด้านภาคธุรกิจ ดร.พณชิต ย้ำว่าการปรับตัวแบบค่อยเป็นค่อยไป “ช้าเกินไป” ในยุคนี้ องค์กรต้องขยับสู่การทรานส์ฟอร์มด้วย AI อย่างจริงจังในระดับกระบวนการ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ ความแม่นยำ และคุณภาพ พร้อมสะท้อนว่า การนำ AI มาใช้ในระดับลึกซึ้ง (Deep Tech) สามารถลดต้นทุนได้จริง 30-70% ซึ่งจะช่วยกู้คืนขีดความสามารถในการแข่งขันด้านราคาของไทยกลับมา และรัฐพร้อมมีกลไกสนับสนุนผ่านเงินทุนอุดหนุนและสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำเพื่อเร่งให้เกิดการเปลี่ยนผ่านได้จริง
ไฮไลต์สำคัญคือการเสนอโมเดลธุรกิจใหม่ “การส่งออกสินทรัพย์ทางปัญญาและบริการข้ามพรมแดน” โดยใช้ประโยชน์จากความแตกต่างของเขตเวลา (Time Zone) เช่น การให้บริการ Telemedicine หรือศูนย์ความปลอดภัยไซเบอร์ (SOC) ให้กับลูกค้าในสหรัฐอเมริกาหรือยุโรปในช่วงกลางคืนของประเทศเหล่านั้น ซึ่งตรงกับเวลากลางวันของไทย ถือเป็นการเปลี่ยนไทยจากผู้ซื้อเทคโนโลยี มาเป็นผู้ส่งออกบริการมูลค่าสูง
สองนักการเมืองชี้ สงครามแย่งชิงคน และยุทธศาสตร์ “โซ่ข้อกลาง” ของไทย
เวทีเสวนา “ทิศทางเทคไทย Turn Thai to Tech Tide” ที่นำโดย ศาสตราจารย์ ดร. สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ จากพรรคไทยก้าวใหม่ และ ดร.การดี เลียวไพโรจน์ จากพรรคประชาธิปัตย์ ได้เปิดเผยตัวเลขที่น่าตกใจว่า ไทยผลิตบุคลากรด้าน AI คุณภาพสูงได้ไม่ถึง 500 คนต่อปี ในขณะที่ความต้องการขั้นต่ำอยู่ที่ 20,000 คน ทั้งสองได้แชร์มุมมองที่สอดคล้องกับวิกฤต Human Capital Crisis โดย ดร.สุชัชวีร์ มองการแข่งขันเป็น “สงคราม AI” และย้ำว่าหากไม่มี “คน” คือ “แพ้ทันที” ในสงครามนี้ พร้อมเสนอให้เปลี่ยนประเทศไทยให้เป็น “แม่เหล็ก” (Magnet) ดึงดูด Talent ระดับโลก เข้ามาทำงาน เพื่อให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยี (Technology Transfer) โดยเร็วที่สุด ด้าน ดร.การดี เสนอให้ไทยกำหนดจุดยืนใหม่ โดยไม่จำเป็นต้องแข่งสร้างเทคโนโลยีต้นน้ำ แต่ควรวางตำแหน่งเป็น “โซ่ข้อกลาง” (Middle Link) ที่เน้นการนำ AI มาประยุกต์ใช้ให้เกิดผลจริงในภาคธุรกิจและสังคม ตามโมเดล “Detroit of Asia” และย้ำว่า AI ต้องถูกยกระดับให้เป็นสาธารณูปโภคพื้นฐาน (Fundamental Infrastructure) ทันที
NVIDIA แนะ เมื่อ ‘ความเร็ว’ ของ AI ต้องมาพร้อม ‘ความยั่งยืน’
ภายในงานได้มีการหยิบยกประเด็นร้อนเรื่อง “AI for Sustainability” มาถกเถียงอย่างเข้มข้น โดยมี ดร.อิเทียน มูลเลอ (Dr.Etienne Mueller) จาก CMKL University และ คุณพงษ์ศสิษฐ์ ทองประมูณ จาก NVIDIA โดยชี้ให้เห็นว่า ทุกคำสั่งประมวลผลของ AI คือการดึงพลังงานมหาศาล ซึ่งนำไปสู่การตั้งคำถามถึง “ราคาที่ต้องจ่าย” ด้านสิ่งแวดล้อม ผ่านมุมมองเกี่ยวกับ ความเหลื่อมล้ำของประสิทธิภาพ ที่ ดร.อิเทียน ชี้ว่าสมองมนุษย์ใช้พลังงานเพียง 20 วัตต์ เทียบกับ AI Data Center ที่ใช้พลังงานมหาศาลถึงหลักกิกะวัตต์ (ต่างกันเป็นหลักพันเท่า) การค้นหาผ่านแชตบอต AI 1 ครั้ง ใช้พลังงานมากกว่า Google Search แบบดั้งเดิมถึง 10 เท่า ทิศทางวิจัยจึงมุ่งสู่การเลียนแบบกลไกสมอง เช่น “ความเบาบางของข้อมูล” (Sparsity) และ ความยั่งยืนผูกติดกับ ‘ผลกำไร’ โดย คุณพงษ์ศสิษฐ์ (NVIDIA) ที่เน้นการเพิ่ม “ประสิทธิภาพต่อหน่วย” (Efficiency) ผ่านการผสานฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์ เช่น การใช้เทคนิค Accelerated Computing และ Mixed Precision Training เพื่อให้การประมวลผลเร็วขึ้นและใช้พลังงานน้อยลง
ในมุมของ “คนรุ่นใหม่และคนทำงานจริง” ถูกสะท้อนผ่านเวที “AI in Creative Industries” เหล่าผู้เชี่ยวชาญจากวงการสร้างสรรค์ได้มาร่วมถอดบทเรียนการใช้งานจริง นำโดย คุณจั๊ก สุภณวิชญ์ สมสมาน ผู้ก่อตั้ง The Monk Studio ที่เปิดเผยตัวเลขที่น่าสนใจว่า ในงานแอนิเมชันระดับโลก AI เข้ามาช่วยทำงานในลักษณะงานเบื้องหลัง ช่วยลดเวลาและเร่งกระบวนการผลิตได้ถึง 70% แต่อีก 30% ที่เหลือซึ่งคือการตัดสินใจเชิงศิลปะ ยังคงต้องอาศัยประสบการณ์ของมนุษย์ที่ AI ไม่สามารถทดแทนได้ สอดคล้องกับมุมมองของ คุณแม็กซ์ ณัฐวุฒิ เจนมานะ ศิลปินและโปรดิวเซอร์ ที่มองว่าแม้ AI จะสร้างเพลงที่ฟังดูดีได้ในไม่กี่นาที แต่สิ่งที่ขาดหายไปคือ “เรื่องราวและประสบการณ์ชีวิต” ซึ่งเป็นหัวใจของงานศิลปะ ศิลปินยุคใหม่ต้องเข้าใจอัลกอริทึม แต่ต้องใช้มันเพื่อขยายประสบการณ์ร่วมกับผู้ชม ไม่ใช่ให้ AI มากำหนดตัวตนของงาน ขณะที่เวที “Endless Possibilities: AI, Education, and Preparing Thai Students for the World Stage” ที่มี ธนานนท์ “9arm” ปฏิญญาศักดิกุล อินฟลูเอ็นเซอร์ด้านเทคโนโลยีชื่อดังของไทย ได้สะท้อนมุมมองที่จำเป็นสำหรับคนรุ่นใหม่ว่า อุปสรรคใหญ่ที่สุดของเด็กไทยคือ “กรอบความคิด” ที่มักประเมินศักยภาพตนเองต่ำเกินไป แม้ทักษะจะพร้อม แต่ต้องก้าวข้ามความเชื่อมั่นที่ผิด ๆ และแม้ AI Tools จะฉลาด แต่ 9arm ย้ำว่า “ความรู้พื้นฐาน” ยังเป็นเข็มทิศสำคัญที่จะทำให้มนุษย์สามารถตรวจสอบความถูกต้องและสั่งงานโค้ดที่ AI สร้างขึ้นได้อย่างสมบูรณ์
อีกหนึ่งในหมุดหมายเชิงนโยบายที่ถูกจับตาในงาน AI Innovation Summit 2025 คือการเปิดตัว AI Standard Test (AST) และกรอบ AI Literacy & AI Engineer Certificates ภายใต้การขับเคลื่อนของ AIEI และ CMKL University ร่วมกับพันธมิตรอย่าง BOI, FTI, NVIDIA และ AWS เพื่อสร้าง “มาตรฐานกลางด้านทักษะ AI” ที่เชื่อมการศึกษาเข้ากับตลาดแรงงานจริง ตั้งแต่ระดับคนทำงานทั่วไปที่ต้องใช้ AI เป็นเครื่องมือ ไปจนถึงสายวิศวกรและนักพัฒนา AI ที่ภาคอุตสาหกรรมต้องการอย่างเร่งด่วน ปิดท้ายด้วยคำกล่าวของ รศ.ดร. สุพันธุ์ ตั้งจิตกุศลมั่น อธิการบดี มหาวิทยาลัยซีเอ็มเคแอล ที่ย้ำพันธกิจสำคัญว่า “AI ต้องไม่มาแทนที่มนุษย์ แต่ต้องช่วยขยายศักยภาพของมนุษย์”
AI Innovation Summit 2025 ปิดฉากอย่างงดงามด้วยจำนวนผู้ร่วมงานกว่า 1,000 คน นับเป็นจุดเริ่มต้นของการผนึกกำลังทุกภาคส่วน เพื่อเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส และผลักดันให้ประเทศไทยก้าวสู่การเป็น Tech Nation ได้อย่างแท้จริง ติดตามสรุปเนื้อหา ไฮไลต์ AI Innovation Summit 2025 และความคืบหน้าของโครงการต่าง ๆ ได้ที่ https://summit2025.aiei.ac.th/
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา





