เด็กจบใหม่ฟังทางนี้ นักวิจัยชี้ AI ไม่ได้แทนที่มนุษย์ซะทีเดียว แต่จะเปลี่ยนวิธีทำงานอย่างมาก ต้องเร่งเพิ่มทักษะก่อนจะสายไป

เวลาพูดถึง “AI มาแทนที่งานคน” ภาพที่หลายคนนึกออก มักหนีไม่พ้นตำแหน่งงานระดับเริ่มต้น หรืองานที่ทำซ้ำๆ

แต่ในอีกมุม ผู้เชี่ยวชาญกลับมองว่า AI ไม่ได้เข้ามาแทนที่ทั้งหมดในทันที แต่กำลัง ‘พลิกโฉมวิธีทำงาน’ ให้เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง

งานรูทีนกำลังถูกแทนที่ แต่เปิดพื้นที่ให้ทักษะใหม่

Fawad Bajwa หัวหน้าฝ่าย AI ข้อมูล และการวิเคราะห์ทั่วโลกจาก Russell Reynolds Associates บริษัทที่ปรึกษาด้านการบริหาร มองว่า AI กำลังเปลี่ยนงานรูทีน หรืองานที่ต้องใช้แรงมากๆ ในตำแหน่งจูเนียร์

เขาชี้ให้เห็นว่า แทนที่จะต้องร่างอีเมล จัดข้อมูลเบื้องต้น หรือนัดประชุม ตอนนี้คนทำงานรุ่นใหม่ เริ่มหันมาใช้ AI เป็นเครื่องมือช่วยร่าง แล้วโฟกัสกับการ ‘ตัดสินใจ’ แทน

ตัวอย่างเช่น นักการตลาดจูเนียร์เริ่มใช้ Generative AI เพื่อร่างเอกสารส่งเสริมการขายหรือแคมเปญต่างๆ ขณะที่นักวิเคราะห์ข้อมูลรุ่นใหม่ใช้ AI จัดชุดข้อมูลเบื้องต้น เพื่อเอาเวลาไปวิเคราะห์เชิงลึกมากขึ้น

ตลาดแรงงานต้องรีเซ็ต

Zanele Munyikwa นักเศรษฐศาสตร์จาก Revelio Labs บริษัทวิเคราะห์ตลาดแรงงาน เสริมว่า AI กำลังเปลี่ยนทุกตำแหน่งงาน และแนวโน้มการจ้างงานระดับเริ่มต้นลดลงอยู่แล้ว ไม่ว่า AI จะเข้ามาหรือไม่ก็ตาม เพียงแต่ตำแหน่งงานที่เกี่ยวข้องกับ AI จะเห็นผลชัดกว่าเล็กน้อย

งานวิจัยของ Revelio Labs ชี้ว่า AI กำลังผลักดันให้เกิด ‘การเปลี่ยนแปลงทางอาชีพ’ (occupational transformation) ในหมู่ตำแหน่งงานระดับเริ่มต้น เช่น งานจูเนียร์ถูกปรับให้รับผิดชอบในบทบาทที่ AI เข้าไปแทนยากขึ้น

ซึ่งกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด มักจะเป็นงานด้านเทคนิค เช่น วิศวกรข้อมูล ผู้ดูแลระบบฐานข้อมูล ผู้เชี่ยวชาญด้านไอที และบุคลากรด้านความปลอดภัยทางไซเบอร์ รวมถึงงานด้านการเงินอย่างผู้ตรวจสอบบัญชี 

ขณะเดียวกัน ตำแหน่งงานเหล่านี้ก็นำ AI มาใช้มากที่สุดด้วย เช่น บางองค์กรมีพนักงานกว่า 30% ใช้ AI เป็นประจำแล้ว ทำให้ประสิทธิภาพงานเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน

ในทางกลับกัน งานที่มีความเสี่ยงจาก AI ต่ำ มักจะเป็นงานที่ทำซ้ำหรือทำโดยอัตโนมัติไม่ได้ง่าย เช่น งานภาคการผลิต งานบริการด้านท่องเที่ยว และงานที่ต้องปฏิสัมพันธ์กับคนจริงๆ ซึ่งตำแหน่งงานเหล่านี้ยังคงมีความต้องการสูง และเติบโตเร็วกว่างานที่เสี่ยงสูงจาก AI

Munyikwa เชื่อว่าในอนาคต การมาของ AI อาจนำไปสู่การลดจำนวนพนักงานในบางตำแหน่งจริง แต่ในขณะเดียวกันก็จะสร้างงานใหม่ๆ ขึ้นมาด้วย

อย่างไรก็ตาม การปรับเปลี่ยนนี้ต้องลงทุนในการฝึกอบรมเครื่องมือ AI และการปรับโครงสร้างข้อกำหนดของตำแหน่งงานอย่างรอบคอบ ซึ่งต้องใช้เวลาและการนำที่ชัดเจนเพื่อที่จะเห็นผลลัพธ์ในระยะยาว

การเปลี่ยนผ่านใช้เวลา และต้องวางแผนให้ดี

Bajwa เตือนว่า เมื่อ ‘งานพื้นฐาน’ หายไป องค์กรต้องคิดใหม่ว่าจะสร้างเส้นทางเติบโตให้คนรุ่นใหม่อย่างไร เพราะโอกาสฝึกตัดสินใจ และเรียนรู้จากงานเล็กๆ อาจหายไป ซึ่งเป็นจุดสำคัญในการสร้างผู้นำในอนาคต

งานวิจัยของ Russell Reynolds Associates ยังพบว่า ผู้บริหารกว่า 54% กังวลว่า การพึ่งพา AI จะกระทบต่อทักษะการคิดเชิงวิพากษ์ และ 25% กังวลว่าจะกระทบต่อคุณภาพสินค้าและกระบวนการภายใน

“เป้าหมายไม่ได้มีแค่ประสิทธิภาพอีกต่อไป แต่ต้องทำให้ทีมที่ทำงานร่วมกับ AI ยังสามารถเรียนรู้ เติบโต และเป็นผู้นำได้ในอนาคต”

ด้าน Munyikwa เสนอว่าองค์กรจำเป็นต้องสร้าง ‘เส้นทางใหม่’ ให้คนรุ่นใหม่ เช่น โปรแกรมฝึกงานหรือหลักสูตรเร่งรัด ที่ใช้ AI เป็นส่วนหนึ่งของการเรียนรู้ เพื่อช่วยยกระดับทักษะ แม้งานจูเนียร์บางส่วนจะหายไป

ผู้นำยังต้องวางแผนการรีสกิล-อัปสกิลอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่เพียงอบรมครั้งเดียว เพื่อให้ทีมสามารถก้าวทันเครื่องมือ AI ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

สรุปคือ AI ไม่ได้เข้ามาแค่ ‘แย่งงาน’ แต่กำลังสร้างการทำงานแบบใหม่ องค์กรที่ปรับตัวเร็ว วางแผนเรื่องคนและทักษะชัดเจน จะได้เปรียบในยุคที่ AI กลายเป็นคู่ทำงานสำคัญ

ที่มา: CNBC

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา