เจาะลึก เพาเวอร์ มอลล์ พลิกเกมค้าปลีกเครื่องใช้ไฟฟ้า ชู A.I. และสินค้าพรีเมียม ฝ่ามรสุมเศรษฐกิจ

ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจที่ยังคงเผชิญความท้าทายและกำลังซื้อที่ชะลอตัว เพาเวอร์ มอลล์ (POWER MALL) ในฐานะผู้เล่นรายใหญ่ของตลาดค้าปลีกเครื่องใช้ไฟฟ้าและสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ภายใต้กลุ่มเดอะมอลล์ กรุ๊ป ประกาศทิศทางกลยุทธ์ครั้งสำคัญ ด้วยการชูเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ A.I. เพื่อเป็นหัวหอกในการเจาะตลาดพรีเมียมและกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคยุคใหม่

ทั้งยังเปิดตัวแคมเปญยักษ์ใหญ่กลางปี POWER MALL ELECTRONICA SHOWCASE ที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่งานลดราคา แต่คือการประกาศเจตนารมณ์ในการก้าวสู่การเป็น A.I. INNOVATION HUB แห่งวงการค้าปลีกอิเล็กทรอนิกส์ไทยอย่างเต็มรูปแบบ

Power Mall

รัชตะ สุทธาพัฒน์ธานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริหารสินค้า เพาเวอร์ มอลล์ บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด เปิดเผยถึงภาพรวมตลาดและทิศทางของบริษัทว่า แม้เป้าหมายการเติบโตในช่วงครึ่งปีแรกที่เคยวางไว้สูงถึง 30% จะต้องปรับลดลงมาอยู่ที่ราว 10% แต่เพาเวอร์ มอลล์ ยังคงสร้างการเติบโตได้สูงกว่าภาพรวมตลาดที่หลายกลุ่มสินค้าติดลบอย่างหนัก โดยมีกลยุทธ์การโฟกัสสินค้ากลุ่ม A.I. เป็นพระเอกสำคัญที่สร้างการเติบโตให้เฉพาะกลุ่มสินค้าดังกล่าวสูงถึง 50% และคาดว่าจะเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังและอนาคตต่อไป

ความจริงที่ต้องเผชิญเมื่อเป้า 30% ไม่เป็นดังหวัง

รัชตะ ยอมรับว่าภาพรวมในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2568 นั้นเต็มไปด้วยความท้าทาย โดยเป้าหมายการเติบโตที่ตั้งไว้สูงถึง 30% นั้นอยู่บนสมมติฐานของปัจจัยบวกหลายประการ ทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ และสภาพอากาศที่คาดการณ์ว่าจะร้อนยาวนาน ซึ่งจะส่งผลดีต่อยอดขายกลุ่มเครื่องปรับอากาศ แต่ในความเป็นจริง ปัจจัยดังกล่าวกลับไม่เป็นไปตามคาด

“ปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบมี 3 ส่วนด้วยกัน ส่วนแรกคือมาตรการลดหย่อนภาษี (Easy E-Reciept) ที่เปลี่ยนรูปแบบไปจากปีก่อนหน้า ส่วนที่สองคือภาวะเศรษฐกิจโดยรวมที่ส่งผลต่อกำลังซื้อ และส่วนสุดท้ายคือสภาพอากาศในช่วงหน้าร้อนที่ไม่ร้อนยาวนานเท่าปีก่อน ทำให้ตลาดเครื่องปรับอากาศโดยรวมติดลบถึง 30-40%”

อย่างไรก็ตาม แม้ในสภาวะตลาดที่ไม่เอื้ออำนวย เพาเวอร์ มอลล์ ยังคงสามารถสร้างการเติบโตในกลุ่มเครื่องปรับอากาศได้ในระดับเลขหลักเดียว ซึ่งหมายความว่าบริษัทมีส่วนแบ่งการตลาดที่เพิ่มขึ้น ขณะที่กลุ่มสินค้าทีวีซึ่งตลาดรวมติดลบราว 10% เพาเวอร์ มอลล์ กลับยังสามารถเติบโตได้เล็กน้อย สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งในฐานลูกค้ากลุ่มพรีเมียมที่ยังคงมีกำลังซื้อและมองหาเทคโนโลยีใหม่ ๆ

A.I. ไม่ใช่แค่ ทางเลือก แต่คือ ทางรอด จากสงครามราคา

ในภาวะที่ตลาดแข่งขันกันด้วยราคาอย่างดุเดือด การเลือกที่จะ ฉีกหนี ไปสู่สมรภูมิแห่ง คุณค่า คือกลยุทธ์ที่เพาเวอร์ มอลล์ เลือกใช้ โดยมีเทคโนโลยี A.I. เป็นเครื่องมือสำคัญ

“หากเราไม่มีมูลค่าเพิ่ม (Value Added) ให้กับลูกค้า สุดท้ายก็จะหนีไม่พ้นการแข่งขันด้านราคาและโปรโมชั่น เราจึงตัดสินใจชูโรงสินค้ากลุ่ม A.I. และพรีเมียมอย่างชัดเจน ซึ่งสินค้ากลุ่มนี้มีราคาเฉลี่ยสูงกว่าสินค้ารุ่นปกติประมาณ 30-50% แต่มอบประสบการณ์และความสะดวกสบายที่เหนือกว่า ทำให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายของเรายอมจ่าย ซึ่งกลยุทธ์นี้ทำให้เราสามารถประคองการเติบโตด้านมูลค่า (Value Growth) ได้ แม้การเติบโตเชิงปริมาณ (Volume Growth) จะไม่สูงนัก”

ปัจจุบัน กลุ่มสินค้าพรีเมียมคิดเป็นสัดส่วนมากถึง 70% ของสินค้าทั้งหมดในเพาเวอร์ มอลล์ และที่น่าสนใจคือ มากกว่าครึ่งหนึ่งของกลุ่มพรีเมียมดังกล่าวเป็นสินค้าที่มีเทคโนโลยี A.I. ซึ่งเป็นสัดส่วนที่สูงกว่าคู่แข่งในตลาดอย่างมีนัยสำคัญ และนี่คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้กลุ่มสินค้า A.I. ของเพาเวอร์ มอลล์ เติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 50% ในช่วงที่ผ่านมา และคาดว่าเทรนด์นี้จะยิ่งชัดเจนขึ้นเมื่อเข้าสู่ A.I. เฟสสอง ที่เทคโนโลยีจะถูกผสานเข้ากับผลิตภัณฑ์ต่างๆ อย่างลึกซึ้งและใช้งานง่ายขึ้น

จากการตรวจสอบพบว่า จำนวน SKU (Stock Keeping Unit) ของสินค้า A.I. ในเพาเวอร์ มอลล์ เพิ่มขึ้นจากประมาณ 1,000 กว่ารุ่นในปีที่แล้ว มาเป็นกว่า 2,700 รุ่นในปีนี้ จาก SKU ทั้งหมดของเพาเวอร์ มอลล์ ที่มีอยู่ 4,000-5,000 SKU ซึ่งการขยายพอร์ตโฟลิโอนี้สะท้อนถึงความร่วมมือที่แข็งแกร่งกับแบรนด์พันธมิตรที่ต่างก็เร่งเปิดตัวสินค้านวัตกรรม A.I. สู่ตลาดเช่นกัน

แกะรอยกลุ่มสินค้า A.I. ดาวรุ่ง

เมื่อเจาะลึกลงไปในกลุ่มสินค้า A.I. พบว่ากลุ่มที่เติบโตและชัดเจนที่สุดคือ สมาร์ทโฟน ซึ่งถือเป็นอุปกรณ์ที่ใกล้ตัวผู้บริโภคมากที่สุด ตามมาด้วย ทีวี ที่เน้นจอขนาดใหญ่และความละเอียดสูงพร้อมชิปประมวลผล A.I. และ โน้ตบุ๊ก สำหรับทำงานและเล่นเกม (A.I. PC) ที่กำลังเป็นกระแสหลัก นอกจากนี้ เทคโนโลยี A.I. ยังขยายไปยังกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้าน (Home Appliances) อื่น ๆ อย่างรวดเร็ว เช่น

  • เครื่องซักผ้า: ระบบ A.I. ที่สามารถคำนวณประเภทของผ้าและเลือกโปรแกรมการซักที่เหมาะสมที่สุดเพื่อถนอมเนื้อผ้าและประหยัดพลังงาน
  • ตู้เย็น: เทคโนโลยี A.I. ช่วยจัดการสต็อกอาหาร แจ้งเตือนวันหมดอายุ และปรับอุณหภูมิให้เหมาะสมเพื่อคงความสดใหม่และประหยัดไฟ
  • เครื่องปรับอากาศ: ระบบ A.I. ที่เรียนรู้พฤติกรรมผู้ใช้งานและปรับทิศทางลมและความเย็นอัตโนมัติตามตำแหน่งและจำนวนคนในห้อง

“POWER MALL ELECTRONICA SHOWCASE” สะพัด 1,500 ล้านบาท ปลุกกำลังซื้อกลางปี

เพื่อตอกย้ำกลยุทธ์ผู้นำด้าน A.I. เพาเวอร์ มอลล์ ได้ทุ่มงบประมาณกว่า 10 ล้านบาท จัดงาน “POWER MALL ELECTRONICA SHOWCASE” ขึ้นระหว่างวันที่ 19 มิถุนายน – 20 สิงหาคม 2568 โดยตั้งเป้ายอดขายตลอดแคมเปญไว้ที่ 1,500 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะเติบโตราว 20% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน

ความพิเศษของงานในปีนี้คือการยกระดับสู่การเป็นเวทีโชว์เคสนวัตกรรม A.I. ครั้งใหญ่ที่สุด โดยมีไฮไลท์อยู่ที่โซน “POWER MALL FIRST” ชั้น 4 พารากอน ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ ที่มีการเปิดตัวสินค้า A.I. รุ่นล่าสุดครั้งแรกในประเทศไทย อาทิ SAMSUNG MINILED 8K 85 นิ้ว และ HP OMNIBOOK 7 AERO NG A.I. PC

นอกจากนี้ ยังมีการจัดงานใหญ่ในพื้นที่ MCC HALL ที่เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ งามวงศ์วาน, บางแค และบางกะปิ ในช่วงปลายเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม ซึ่งเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่กว่า 4,000 ตารางเมตร เพื่อสร้างประสบการณ์ตรงให้ลูกค้าได้สัมผัสและทดลองเทคโนโลยี A.I. อย่างเต็มที่ พร้อมโปรโมชั่นที่ดึงดูดใจ อาทิ ส่วนลดสูงสุด 70%, ซื้อ 1 แถม 1, และสิทธิประโยชน์จากบัตรเครดิตต่างๆ

ทิศทางครึ่งปีหลัง: มองไปข้างหน้าด้วยความหวังบนฐาน A.I.

สำหรับแนวโน้มในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 รัชตะ แสดงความเชื่อมั่นว่า ตลาดจะกลับมาคึกคักมากขึ้นจากปัจจัยหนุนของการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ จากแบรนด์ชั้นนำ โดยเฉพาะการมาถึงของสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่จาก Apple และ Samsung รวมถึงคอมพิวเตอร์กลุ่ม Copilot+ PCs ที่จะขับเคลื่อนตลาด A.I. PC ให้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ

“เราไม่ได้กังวลกับสถานการณ์ในช่วงครึ่งปีหลัง เพราะเราทราบดีว่าต้องเผชิญกับอะไร แต่หน้าที่ของเราคือการสร้างคุณค่าและนำเสนอนวัตกรรมใหม่ๆ ให้กับผู้บริโภค โดยเฉพาะลูกค้ากลุ่มพรีเมียมของเราที่ยังมีกำลังซื้อและมองหาเทคโนโลยีที่จะมายกระดับคุณภาพชีวิต”

กลยุทธ์จากเพาเวอร์ มอลล์ ในครั้งนี้ ชี้ให้เห็นภาพที่ชัดเจนว่า ในยุคที่ตลาดค้าปลีกอิเล็กทรอนิกส์มีมูลค่ารวมกว่า 230,000-240,000 ล้านบาท และมีการเติบโตในระดับเลขหลักเดียว การแข่งขันไม่ได้วัดกันที่ “ราคา” เพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่คือการช่วงชิงความเป็นผู้นำด้าน “นวัตกรรม” และการสร้าง “คุณค่า” ที่จับต้องได้ ซึ่งการเดิมพันกับเทคโนโลยี A.I. ของเพาเวอร์ มอลล์ คือการประกาศว่าพวกเขาพร้อมแล้วที่จะเป็นผู้นำในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา