AIS เปิดตัวเครือข่าย 5G+ อีกขั้นของเทคโนโลยี 5G ที่นำคลื่นสามย่านความถี่มาผสานเป็นหนึ่งเดียว 5G 3CC (3 Component Carrier Aggregation) ประเดิมพื้นที่ย่านธุรกิจหลักอย่างสาทร สีลม มีมือถือที่รองรับแล้วกว่า 20 รุ่น พร้อมขยายพื้นที่ที่มีการใช้งานหนาแน่นทั่วประเทศในอนาคต

วสิษฐ์ วัฒนศัพท์ หัวหน้าหน่วยธุรกิจปฏิบัติการและสนับสนุนด้านเทคนิคทั่วประเทศ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงการนำเทคโนโลยี 5G 3CC หรือเรียกง่ายๆ ว่า 5G+ ซึ่งไทยถือว่าเป็นประเทศแรกในอาเซียน ที่เปิดใช้บริการเชิงพานิชย์ การผสานสามคลื่นความถี่ 2600MHz, 2100MHz และ 700MHz เข้าด้วยกัน สามารถทำให้ความเร็วเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยถึง 16% รองรับปริมาณการใช้งานเพิ่มขึ้นถึง 23% ซึ่งตอนนี้มีมือถือในท้องตลาดที่รองรับประมาณ 22 รุ่น โดยจะต้องเปิดโหมด 5G SA (Stand alone) ก่อนเพื่อใช้งาน สำหรับ iPhone รุ่นที่รองรับเทคโนโลยี 2CC จะสามารถใช้งาน 5G ผสานสองคลื่นความถี่ได้ประมาณเดือนกรกฎาคม หลังจากที่ทาง Apple ได้อัปเดทเฟริมแวร์
“ความยากของการเปิดให้บริการเทคโนโลยี 5G 3CC คือเราต้องทำงานร่วมกับอีก 2 พาร์ทเนอร์หลักๆ โดยเฉพาะผู้ผลิตสมาร์ทโฟนที่มีฮาร์ดแวร์ที่รองรับ 3CC อยู่แล้ว และปรับจูนคลื่นความถี่ที่มีให้บริการในไทย กว่าจะทำงานได้อย่างราบรื่น ถือว่าใช้เวลาเป็นปีกว่าจะสามารถใช้งานได้อย่างสมบูรณ์ โดยข้อดีของ 3CC คือความเร็วในการดาวน์โหลดจะเพิ่มขึ้นแตะหลัก 800Mbps ส่วนขาอัปโหลดจะเร็วถึง 100Mbps โดยผู้ใช้งานที่เน้นการอัปโหลดไฟล์ใหญ่ๆ หรือไลฟ์สดจะทำให้ลดปัญหาการใช้งานได้อย่างมาก”
ผู้ใช้งาน AIS ที่เข้าสู่เทคโนโลยี 5G+ จะสามารถสังเกตเครือข่ายจะแสดงผล 5G+ ที่เสาสัญญาณบนเครื่อง ยกเว้นผู้ใช้งาน Samsung จะขึ้นเป็น 5G อยู่ แต่เบื้องหลังระบบจะทำงานในเทคโนโลยี 3CC แล้ว โดยปัจจุบันมีจำนวนสมาร์ทโฟนที่รองรับ 5G 3CC หรือ AIS 5G+ ในระบบกว่า 600,000 เครื่อง เทคโนโลยี 5G 3CC จะเหมาะสมในพื้นที่ที่มีการใช้งานอย่างหนาแน่น และมีจำนวนผู้ใช้งานสมาร์ทโฟนที่รองรับ 5G 3CC ที่จับสัญญาณ 5G มากกว่า 4G เทคโนโลยี 5G 3CC จึงจะถือว่าใช้งานได้เต็มประสิทธิภาพ โดยที่ไม่ต้องลงทุนกับการปรับเปลี่ยนโครงข่ายเหมือนก่อนแต่อย่างใด
สำหรับสมาร์ทโฟนรุ่นที่รองรับ 5G 3CC ที่วางจำหน่ายอย่างเป็นทางการในไทยมีดังนี้
- Samsung: Galaxy S24 / S24 FE / S24+ / S24 Ultra, Galaxy S25 / S25 Ultra / S25+, Z Flip6 / Z Fold6 (จะแสดงสัญลักษณ์ 5G)
- Honor: 400 Pro, Magic 7 Pro
- iQOO: 13, Neo 10, Z10 5G
- OPPO: Find N5, X8, X8 Pro, Reno 13 Series
- Realme: GT 7T
- vivo: V40 5G, V50
เปิดใช้งาน 5G SA และ VoNR เต็มรูปแบบ
อีกหนึ่งเทคโนโลยีที่ วสิษฐ์ ได้เปิดบริการเต็มรูปแบบคือ 5G Stand alone หรือ 5G SA เป็นการใช้งานโครงข่าย 5G ที่ไม่รวมกับการใช้งาน 4G ทำให้สามารถลดความหน่วง (Latency) ได้อย่างชัดเจน และเพิ่มความเร็วและความเสถียรของสัญญาณ อีกทั้งยังรองรับเทคโนโลยีล้ำสมัยในอนาคต เช่น AI, AR/VR, Cloud Gaming, ยานยนต์ไร้คนขับ และ Network Slicing สำหรับแยกส่วนเครือข่ายเฉพาะทาง ซึ่งไม่สามารถทำได้บนโครงข่าย NSA (Non-Standalone) อีกเทคโนโลยีก็คือ VoNR (Voice over New Radio) หรือการโทรด้วยเสียงผ่านเครือข่าย 5G โดยตรง ซึ่งช่วยให้เสียงสนทนาคมชัดระดับ HD การโทรติดเร็วขึ้น และใช้งานอินเทอร์เน็ตไปพร้อมกันได้อย่างไม่มีสะดุด AIS ถือเป็นผู้ให้บริการรายแรกในประเทศไทยที่เปิดใช้ VoNR อย่างสมบูรณ์บนโครงข่าย 5G SA และยังทำให้ ความสามารถ Dual SIM Dual Active (DSDA) ที่ทำให้สมาร์ทโฟน 2 ซิมสามารถใช้งานดาต้าจากซิมหนึ่งและรับสายจากอีกซิมได้พร้อมกันโดยไม่มีสะดุด
“ถือว่าการเปิดให้บริการ 5G ในสามเทคโนโลยีที่กล่าวมาข้างต้น จะทำให้การใช้งานคลื่นความถี่ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ลดปัญหาต่างๆ ที่ได้พบการใช้งานในโครงข่าย 4G สะท้อนถึงบทบาทของ AIS ในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยีการสื่อสาร ที่มุ่งยกระดับโครงข่ายสู่มาตรฐานใหม่ของประเทศ พร้อมก้าวสู่ยุคใหม่ของการสื่อสารที่รวดเร็ว ทรงพลัง และครอบคลุมทุกพื้นที่การใช้งาน ด้วยแนวคิด “ทุกจุดที่มีคนใช้งาน ต้องมีสัญญาณคุณภาพให้บริการ” โดยมุ่งเน้นการให้บริการที่ครอบคลุม ให้ผู้ใช้งานเชื่อมต่อและสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเสริมสร้างประสบการณ์ดิจิทัลที่สมบูรณ์แบบให้กับลูกค้าในทุกมิติ”
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา