ช่อง 3 สู้ศึกทีวีดิจิทัล ดึงคนนอกเสริมทัพ-สร้างช่องทางรายได้ใหม่ด้วยการเป็นพันธมิตรกับแบรนด์

กลุ่ม BEC หรือช่อง 3 ที่เราคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี กำลังจะปรับโครงสร้างครั้งใหญ่ในรอบเกือบ 5 ทศวรรษ ผ่านการดึงคนเก่งๆ นอกตระกูล “มาลีนนท์” เข้ามา และเพิ่มช่องทางรายได้ใหม่ หลังอุตสาหกรรมสื่อไม่ได้ดีเหมือนก่อน

ปีที่ 50 กับภาพตลาดที่ไม่เหมือนเดิม

เรียกได้ว่าเป็นสื่อโทรทัศน์ที่เก่าแก่อีกรายสำหรับไทยทีวีสีช่อง 3 ของกลุ่ม BEC เพราะการแพร่ภาพครั้งแรกก็ต้องนับย้อนไปถึงปี 2513 หรือเกือบ 50 ปีก่อน ซึ่งตอนนั้นโทรทัศน์ก็มีเพียงไม่กี่ช่อง ทำให้ทางกลุ่มสามารถครองใจผู้ชม และเป็นหนึ่งในสื่อที่รายได้จากโฆษณามหาศาล แต่นั่นมันแค่ในอดีต

เพราะในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมสื่อนั้นเปลี่ยนแปลงเร็วมาก ผ่านทั้งเรื่องพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป, ผู้ซื้อโฆษณามีอำนาจต่อรองมากขึ้น รวมถึงเศรษฐกิจภาพรวมที่ยังไม่ฟื้นตัวอย่างที่ควรจะเป็น ทำให้ Rating ดีไม่ได้หมายความว่าโฆษณาจะเข้าเยอะ และกลายเป็นยักษ์ใหญ่รายนี้ต้องปรับตัวให้เร็วที่สุด

กลุ่ม Line ลงทุนสร้างละครด้วยตัวเอง ทำให้ไม่ต้องพึ่งช่องทางโทรทัศน์อีกต่อไป

ประชุม มาลีนนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท บมจ.บีอีซี เวิลด์ ยอมรับว่า สถานการณ์ตอนนี้จะให้ตัวธุรกิจกลับมาเติบโตอีกครั้งไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะรายได้ส่วนใหญ่มาจากโฆษณา ถ้าเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัว แบรนด์ต่างๆ ก็คงไม่ใช้เงินซื้อสื่อเยอะเหมือนเมื่อก่อน ทำให้ตัวบริษัทเองต้องหาแหล่งรายได้ใหม่ๆ เข้ามาเพิ่ม

“พันธมิตร” คือทางใหม่ที่ช่อง 3 เลือก

“เราต้องปรับตัว เพราะทีวีดิจิทัลยังเป็น Red Ocean ทุก Player ในตลาดก็ตกกันหมด ถ้าอยู่เหมือนเดิมโอกาสเติบโตก็ยาก ยิ่งเม็ดเงินโฆษณายังเป็นแบบนี้อยู่ การหา Blue Ocean ก็ยิ่งจำเป็น ทำให้ช่อง 3 ต้องสร้างอะไรใหม่ๆ จากการที่เรามีคนเก่งๆ เยอะ และมีดาราในสังกัดกว่า 200 ชีวิต”

ภาพ pixabay.com

โดยวิธีแรกของกลุ่ม BEC คือการดึงคนเก่งนอก “มาลีนนท์” มานั่งใน 7 ตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง เช่นกิจการองค์กร และการวิจัย ซึ่งอย่างหลังค่อนข้างน่าสนใจ เพราะเป็นการนำข้อมูลต่างๆ ของกลุ่ม BEC มาวิเคราะห์ (Big Data Analytics) ก่อนส่งให้กับฝ่ายเนื้อหา และผลิต เพื่อสร้างสรรค์ละคร หรือรายการได้ตรงใจผู้บริโภคมากที่สุด

นอกจากนี้ยังเตรียมสร้างช่องทางรายได้ใหม่ หรือ “พันธมิตร” จากเดิมที่มีรายได้จากโฆษณา และเนื้อหา โดยช่องทางใหม่จะเป็นการคุยกับแบรนด์โดยตรง เพื่อทำแคมเปญต่างๆ ร่วมกัน เช่นลงโฆษณาภายในช่อง พร้อมได้ดาราในสังกัดเป็นพรีเซนต์สินค้า รวมถึงทำกิจกรรมการตลาดร่วมกัน แต่ในระยะสั้นยังไม่มีความชัดเจนในแผนนี้มากนัก

มุ่ง Media-Entertainment เต็มสูบ

“เดิมทีเราเป็นแค่ Media แต่ตอนนี้ต้องเป็น Media-Entertainment เพราะตัว Content ที่เรามี และกำลังจะสร้างเพิ่มมันสำคัญต่อตัวธุรกิจมาก ไม่ว่าจะเป็นละคร, ข่าว และรายการวาไรตี้ ดังนั้นมันต้องคำนวนออกมาให้ถูกต้องที่สุด เพื่อส่ง Content ออกไปแล้วโดนใจผู้ชม ผ่านการใช้หลัก Consumer Centric”

อย่างไรก็ตามด้วยการถือช่องดิจิทัลไว้ถึง 3 ช่อง ประกอบด้วย 3HD, 3SD และ 3 Family ทำให้ทางบริษัทต้องปรับผังอีกครั้ง โดยทางช่อง 3HD ในปีหน้าจะมีละคร “You Who Came From The Star” ที่ซื้อลิขสิทธิ์มาจากเกาหลีเพื่อทำใหม่ โดยมี “ณเดช คูกิมิยะ-แมท ภีรณีย์” เป็นนักแสดงนำ

ขณะเดียวกันการฉายละครดังในอดีตก็ช่วยสร้างรายได้ให้บริษัทเช่นกัน อาทิแรงเงา และอย่าลืมฉัน ส่วนช่อง 3HD กับ 3 Family ก็มีรายการต่างประเทศเข้ามาเพิ่มเติม ที่สำคัญยังเตรียมทำตลาดในกลุ่มประเทศ CLMV เพิ่มเติม เช่นการขาย Content และนำดาราไปจัดกิจกรรม เพื่อช่วยโปรโมทแบรนด์สินค้าในประเทศเหล่านั้น

สรุป

ไม่ใช่ง่ายๆ เพราะช่อง 3 หรือกลุ่ม BEC นั้นมีต้นทุนทีวีดิจิทัลถึง 3 ช่อง ทำให้การพลิกรายได้กลับมาบวกในระยะสั้นๆ คงเป็นไปได้ยาก หากสถานการณ์เม็ดเงินโฆษณายังเป็นแบบนี้ ประกอบกับแผนการไปออนไลน์ที่ยังไม่ชัดเจน มีเพียง 3Live ที่เป็น Application รับชมออนไลน์ที่มีผู้ชม 2.5 ล้านคน/เดือน, Mello ที่เป็นช่องทางความบันเทิงใหม่ และ YouTube กับ Facebook ที่หลายๆ ช่องก็มีกัน

แต่เรื่องโมเดลรายได้ก็คงไม่มีอะไรมากกว่าแค่ช่องทางใหม่ของแบรนด์ต่างๆ ในการบอกว่าเรามีออนไลน์แล้ว

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา