คนไทยยังชอบกินน้ำปลาอยู่หรือเปล่า?
Brand Inside มีโอกาสได้พูดคุยกับ บริษัท น้ำปลาพิไชย จำกัด ผู้ผลิต ‘น้ำปลาแท้ตราหอยนางรม’ เกี่ยวกับทิศทางในตลาดน้ำปลาที่คนอาจยังไม่ค่อยรู้ จึงอยากแบ่งปันมาให้ทุกคนอ่านกัน
ตลาดน้ำปลาในไทยโตยาก คนรุ่นใหม่บอกเหม็น คนไทยไม่เห็นค่า

‘พันธ์ชนะ รัตนประสิทธิ์’ กรรมการผู้จัดการบริษัท เล่าว่า ปัจจุบัน มูลค่าตลาดน้ำปลาไทยอยู่ที่ราวๆ 10,000 ล้านบาทต่อปี แต่เติบโตไม่มาก ปีละไม่เกิน 1-2% เท่านั้น และในอนาคต ตลาดอาจเล็กลง รวมถึงปริมาณการใช้น้ำปลาน่าจะลดลง เพราะประชากรเริ่มหดตัวลงเรื่อยๆ
นอกจากนี้ อุปสรรคหลักๆ ในอุตสาหกรรมน้ำปลาคือ
- คนรุ่นใหม่แอนตี้น้ำปลา เพราะหลายคนมองว่า เค็มเกิน กลิ่นแรง และไม่ตรงเทสต์พอ
- จำนวนปลาลดลง ทำให้ราคาสูงขึ้น แต่ราคาน้ำปลากลับขึ้นตามราคาปลาได้ยาก เพราะผู้บริโภคไทยไม่ค่อยมองเห็นคุณค่าของผลิตภัณฑ์น้ำปลาเท่าไรนัก
เพิ่มไลน์สินค้าเอาใจเด็กไทยรุ่นใหม่
แม้น้ำปลาแท้ตราหอยนางรมจะอยู่คู่คนไทยมานานเกือบ 88 ปี แต่ ‘พันธ์ชนะ’ ก็ยังอยากให้แบรนด์มีชื่อเสียงต่อไป และหนึ่งในวิธีสู่ความสำเร็จนั้นคือการเจาะตลาดคนรุ่นใหม่
ในมุมมองของพันธ์ชนะ การซื้อใจเด็กรุ่นใหม่เป็นเรื่องที่ท้าทาย แถมยังบอกว่า “แค่ชื่อแบรนด์ก็ไม่เท่แล้ว แต่จะมีสินค้าใหม่ออกมาอีก”
ด้วยเหตุนี้ บริษัทน้ำปลาพิไชยจึงออกกลยุทธ์หลากหลาย เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภครุ่นใหม่ เช่น
- เปิดตัว ‘น้ำปลาเพื่อคนรักสุขภาพ’
แบรนด์หอยนางรมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ เอาใจคนรุ่นใหม่ที่รักสุขภาพ ได้แก่
- ‘น้ำปลาตราหอยนางรมไลท์’ เค็มน้อย โซเดียมต่ำ น้ำตาล 0% ไม่เติมโพแทสเซียม ไม่มีกลูเตน มาพร้อมวิตามิน B12
- ‘น้ำปลาหอยนางรมสูตร SELECTED’ ผลิตจากแอนโชวี่แท้ ซึ่งมีกลิ่นคาวน้อยกว่าปลาปกติ ไขมัน 0% ไม่มีคอเลสเตอรอล ไม่เติมผงชูรส ไม่ใส่สี และวัตถุกันเสีย
- ขยายผลิตภัณฑ์ ‘น้ำปลาพริกหอยนางรม’ และ ‘น้ำปลาพริกไส้ตัน’
พันธ์ชนะมองว่า น้ำปลาพริกจะเจาะตลาดคนรุ่นใหม่ได้ เพราะเด็กๆ กินข้าวกล่องกันเยอะ และพวกเขาก็เคยเห็นน้ำปลาพริกหอยนางรมหรือน้ำปลาพริกไส้ตันมาตลอด
โดยปัจจุบัน บริษัทขายน้ำปลาพริกในรูปแบบซองเล็ก สำหรับร้านอาหารตามสั่ง รวมถึงอาหารปรุงสำเร็จตามเซเว่น อีเลฟเว่น และยังเป็นเจ้าตลาดไทย ด้วยรายได้ 100 ล้านบาทต่อปี
ไทยโตยาก แต่ต่างประเทศโตได้อีก
แม้ตลาดน้ำปลาจะดูโตขึ้นยาก แต่แบรนด์หอยนางรมยังเชื่อว่าตลาดต่างประเทศยังโตได้
เอาจริงๆ แบรนด์หอยนางรมก็ส่งออกสินค้าไปเมืองนอกกว่า 80 ประเทศอยู่แล้ว ซึ่งนับเป็น 25% ของรายได้ แถมมีอัตราส่วนการส่งออกและการรับจ้างผลิตสินค้าให้ลูกค้าต่างชาติ (OEM) อยู่ที่ครึ่งต่อครึ่ง
แต่สิ่งที่บริษัทไม่เคยทำเลย ไม่ว่าจะในไทยหรือต่างประเทศคือ การตลาด
‘พิมพ์ลภัทร เอกอัครินทร์’ รองกรรมการผู้จัดการบริษัท เล่าว่า ได้ไปเจอลูกค้าต่างชาติที่ซื้อสินค้าตนเอง เพราะคุณภาพดีต่างจากเจ้าอื่น ทำให้เห็นว่า ขนาดแบรนด์ไม่เคยทำการตลาด ผู้บริโภคยังไว้วางใจขนาดนี้ ถ้าเริ่มทำมาร์เก็ตติ้งและแบรนด์ดิ้งจริงจัง บริษัทคงโตได้อีกแน่
โดยเบื้องต้น บริษัทจะโฟกัสที่ อินโดนีเซีย ดูไบ ยุโรป และแคนาดาไปก่อน เนื่องจากพื้นตลาดดีอยู่แล้ว ขาดแค่การโฆษณาเท่านั้น
นอกจากนี้ บริษัทยังมีแพลนส่งออกสินค้าอื่นๆ ที่อาจตอบโจทย์ลูกค้าในต่างประเทศได้ เช่น
- น้ำปลาร้าและกะปิ เนื่องจากแทบไม่มีแบรนด์ไหนเอาไปขายต่างประเทศอย่างถูกกฎหมาย
- ซอสกะเพราที่มีใบกะเพราในตัว เนื่องจากเป็นวัตถุดิบที่อาจหายากในต่างประเทศ
- ซอสต้มยำ ที่มาแบบครบเครื่อง หาแค่เนื้อสัตว์มาเติมก็พอ ตอบโจทย์คนทำอาหารไม่เป็น
ด้วยโอกาสและศักยภาพต่างๆ พันธ์ชนะก็เผยว่า ในอีก 3 ปีข้างหน้า ทางบริษัทก็หวังจะขยับสัดส่วนรายได้ต่างชาติมาเป็น 30-35% พร้อมเพิ่มการส่งออกเป็น 60-70%
สำหรับระยะยาว บริษัทน้ำปลาพิไชยก็ตั้งเป้าเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ด้วย ดังนั้น ทางองค์กรจะมีกลยุทธ์อะไรมาสร้างความสำเร็จอีก ต้องติดตามกันต่อไป
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา