ZTE ปูพรมสมาร์ตโฟนรุ่นเริ่มต้น 1,999 บาท เตรียมขึ้นท็อป 5 ตลาดมือถือไทย มี วีเอสที อีซีเอส กระจายสินค้า

ปัจจุบันตลาดสมาร์ตโฟนไทยกำลังเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ จากประเด็นเรื่องความปลอดภัยในการใช้งาน ส่งผลให้หลายแบรนด์เริ่มมีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการทำตลาด แต่ในขณะที่ ZTE คือหนึ่งในแบรนด์ด้านเทคโนโลยีการสื่อสารโทรคมนาคมที่ได้รับการยอมรับในระดับโลกและยึดมั่นกับเรื่องนี้มาตั้งแต่แรก และเตรียมเดินหน้าทำตลาดสมาร์ตโฟนในประเทศไทยในปี 2025 อย่างเข้มข้น

หากเจาะไปที่รายละเอียดจะพบว่า ZTE เตรียมเดินหน้าทำตลาดสมาร์ตโฟนรุ่นเริ่มต้น จนไปถึงรุ่นระดับกลาง เน้นเจาะลูกค้าต่างจังหวัด เพื่อปูพรมยอดขายให้เติบโตและตั้งเป้าชิงส่วนแบ่งตลาดโทรศัพท์มือถือในประเทศไทยที่ 20,000 เครื่องต่อเดือน จากในปัจจุบันที่มีจำหน่ายกันรวมแล้วราว 12 ล้านเครื่อง/ปี ที่ 3% หรือเป็นเบอร์ 4-5 ของตลาด

การจะขึ้นไปติดอันดับเบอร์ 4-5 ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะยังมีแบรนด์สมาร์ตโฟนจากประเทศจีนจำนวนมากที่หวังยึดตำแหน่งนี้ รวมถึงแบรนด์จากเกาหลี และสหรัฐอเมริกาที่ยังยึดหัวหาดเอาไว้อย่างเหนียวแน่น แล้ว ZTE จะสู้อย่างไร Brand Inside มีโอกาสพูดคุยกับ ชอว์น เผย ผู้จัดการประจำประเทศไทย ZTE Device ดังนี้

ZTE

ZTE กับการปูพรมรุ่นล่างถึงกลางโกยส่วนแบ่ง

ชอว์น เผย ผู้จัดการประจำประเทศไทย ZTE Device เล่าให้ฟังว่า ZTE ไม่ใช่แบรนด์ใหม่ในตลาดโทรคมนาคมที่ประเทศไทย เพราะเป็นหนึ่งในผู้จำหน่ายอุปกรณ์เกี่ยวกับบริการโทรคมนาคมในประเทศไทยมาอย่างยาวนาน ควบคู่กับการทำตลาดโทรศัพท์มือถือผ่านแบรนด์ตัวเอง และเป็นผู้รับผลิตให้กับพาร์ตเนอร์ที่สนใจ

สำหรับปี 2025 ZTE ในฝั่งธุรกิจโทรศัพท์มือถือจะเดินหน้าทำตลาดสมาร์ตโฟนระดับเริ่มต้น ถึงระดับกลาง เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งตลาดให้เติบโตอย่างมีนัยสำคัญ เริ่มต้นที่การทำตลาดสมาร์ตโฟนรุ่น Blade A35e ที่จำหน่ายในราคา 1,999 บาท วางตำแหน่งเป็นสมาร์ตโฟนในระดับเริ่มต้น และเน้นเจาะตลาดต่างจังหวัดโดยเฉพาะ

“Blade A35e เป็นสมาร์ตโฟนรุ่นเริ่มต้นที่ทำราคาออกมาค่อนข้างดี และมีความ Over Spec เพื่อจูงใจกลุ่มลูกค้าต่างจังหวัดที่ปัจจุบันยังใช้งานฟีเจอร์โฟนให้มาใช้งานสมาร์ตโฟน ยิ่งตอนนี้รัฐบาลมีการกระตุ้นให้รับสวัสดิการต่าง ๆ ผ่านสมาร์ตโฟน ทำให้โอกาสที่พวกเขาจะเปลี่ยนมาใช้สมาร์ตโฟนรุ่นเริ่มต้นก็ง่ายกว่าเดิม”

ZTE Blade A35e

เจาะคุณสมบัติของ Blade A35e

ในความ Over Spec ของ Blade A35e ที่ผู้บริหาร ZTE เคลมไว้ประกอบด้วยหน้าจอขนาด 6.52 นิ้ว แบตเตอรี่ความจุ 5,000 mAh กล้องหลังความละเอียด 8 ล้านพิกเซล กล้องหน้าความละเอียด 5 ล้านพิกเซล และเป็น AI Camera ควบคู่กับความจุในเครื่องที่ 64 GB ใช้ซีพียูแบบ 8 คอร์ ความเร็ว 1.6 GHz และแรม 6 GB

ด้านการใช้งาน Blade A35e มีการปรับปรุงตัวอักษรให้มีขนาดใหญ่พิเศษจากโรงงาน รวมถึงรูปแบบการใช้งานที่ปรับให้เหมาะกับผู้สูงอายุ หรือผู้ที่ยังคุ้นเคยกับการใช้งานฟีเจอร์โฟนเครื่องเดิม นอกจากนี้ยังมีบริการแนะนำการใช้งานจากตัวแทนขายให้กับผู้ที่ซื้อเครื่องรุ่นดังกล่าว เพื่อให้การใช้งานทำได้ง่ายขึ้น เพราะคนที่ซื้อเครื่องนี้อาจไม่เคยใช้สมาร์ตโฟนมาก่อน

จากคุณสมบัติดังกล่าว ZTE ต้องการให้ Blade A35e มีส่วนในการจำหน่ายสมาร์ตโฟนได้ราว 20,000 เครื่อง/เดือน และผลักดันให้ ZTE มีส่วนแบ่งในตลาดสมาร์ตโฟนประเทศไทยปี 2025 ที่ 3% หรือขึ้นเป็นอันดับ 4-5 ของตลาดที่ปัจจุบันมีภาพรวมการจำหน่ายเดือนละ 1 ล้านเครื่อง หรือปีละ 12 ล้านเครื่อง เช่นเดิม

ZTE Blade A35e

ภาพรวมตลาดสมาร์ตโฟนที่ยังแข่งขันดุเดือด

แม้ตลาดสมาร์ตโฟนจะยังไม่เติบโตนัก แต่การแข่งขันในตลาดนี้ยังดุเดือด ผ่านแบรนด์ต่าง ๆ ที่ยังทำตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2025 ZTE มีแผนทำตลาดสมาร์ตโฟนรุ่นเริ่มต้น จนไปถึงรุ่นระดับกลางเป็นหลัก หรือราคาต่ำกว่า 3,500 บาท จนถึงราว 10,000 บาท

“ตลาดสมาร์ตโฟนไทยแบ่งเป็นกลุ่มรุ่นเริ่มต้นราว 30% ของตลาด หรือ 2 แสนเครื่อง/เดือน จึงยังมีโอกาสอีกมากที่บริษัทจะมีส่วนแบ่งในตลาดสมาร์ตโฟนรุ่นเริ่มต้นให้มากขึ้น ส่วนระดับกลาง บริษัทจะเร่งทำตลาดเช่นกัน เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายสมาร์ตโฟนอันดับ 4-5 ในประเทศไทย”

ทั้งนี้ ZTE ไม่ได้ทำตลาดแค่รุ่นเริ่มต้น และรุ่นกลาง เพราะยังมีสมาร์ตโฟนที่เน้นการเล่นเกม เช่น แบรนด์ Nubia และ REDMAGIC รวมถึงสมาร์ตโฟนแบบพับได้ ซึ่งในอนาคตบริษัทจะมีการเพิ่มความจริงจังในการทำตลาดสมาร์ตโฟนกลุ่มดังกล่าวมากขึ้น เพื่อเพิ่มความหลากหลายในตัวสินค้า

ZTE

ไร้การ Pre-Load จริงจังกับความปลอดภัย

ชอว์น เผย เสริมว่า จากกรณีเรื่องความปลอดภัยเกี่ยวกับการติดตั้งแอปพลิเคชันที่แปลกปลอมจากโรงงาน (Pre-Load) ทางบริษัทไม่มีนโยบายดังกล่าว เพราะให้ความสำคัญกับเรื่องความปลอดภัย ทั้งตัวรูปแบบธุรกิจยังเน้นสร้างรายได้จากเทคโนโลยี ไม่ใช่การขายโฆษณา

“เรามีศูนย์วิจัย และพัฒนาของตัวเอง ทั้งยังเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์มีการกำกับดูแลการดำเนินงานที่ชัดเจนและโปร่งใส รวมถึงเป็นผู้ให้บริการเทคโนโลยีโทรคมนาคมในระดับสากลมาอย่างยาวนาน ดังนั้นเรื่องความปลอดภัยจึงสำคัญ และเรายืนยันว่าบริษัทไม่มีการ Pre-Load แอปพลิเคชันที่แปลกปลอมจากโรงงาน เพื่อให้ความปลอดภัยกับผู้ใช้มากที่สุด”

Brand Inside ได้ตรวจสอบ Blade A35e พบว่า การ Pre-Load แอปพลิเคชันในสมาร์ตโฟนรุ่นนี้จะเป็นแอปพลิเคชันที่คุ้นเคย เช่น booking.com และเกม แต่จะมีส่วนโฟลเดอร์แนะนำแอปพลิเคชันที่น่าสนใจเพื่อให้ผู้ใช้โทรศัพท์มือถือสามารถเลือกดาวน์โหลดลงมาติดตั้งได้เอง

VST ESC

ได้ VST ECS (Thailand) ช่วยเร่งการกระจายสินค้า

สำหรับการกระจายสินค้า ZTE มี VST ECS เป็นตัวแทนจำหน่ายในประเทศไทย โดยบริษัทมีศูนย์กระจายสินค้า 11 สาขา ทั่วประเทศ จากเดิมที่มีแห่งเดียวที่กรุงเทพฯ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดจำหน่ายในต่างจังหวัด โดยเฉพาะการเข้าถึงร้านลูกตู้โทรศัพท์มือถือที่เป็นจุดจำหน่ายสำคัญของลูกค้าที่ใช้ฟีเจอร์โฟนในพื้นที่ดังกล่าว

“Blade A35e ถือเป็นรุ่นที่เราค่อนข้างคาดหวังมาก โดยเราตั้งเป้าในการจัดส่งสินค้าไปที่ร้านลูกตู้ได้ภายใน 90 นาทีในกรณีมีคำสั่งซื้อเร่งด่วน ผ่านรถจักรยานยนต์และรถกระบะของเครือข่ายพาร์ตเนอร์ ช่วยให้ปิดการขายได้ดีขึ้น” สมศักดิ์ เพ็ชรทวีพรเดช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วีเอสที อีซีเอส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว

สมศักดิ์ เสริมว่า ในปี 2025 ภาพรวมตลาดสมาร์ตโฟนจะยังอยู่ที่ 12 ล้านเครื่องเช่นเดิม แต่จะเกิดการเปลี่ยนเครื่องที่เร็วขึ้นจากฝั่งผู้บริโภค เพราะเริ่มตระหนักถึงเรื่องความปลอดภัย นอกจากนี้ในฝั่งการสื่อสารการตลาด อาจเห็นการสื่อสารเรื่องความปลอดภัยมากขึ้น นอกเหนือจากเรื่องราคาและคุณสมบัติเช่นกัน

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา