BYD เร่งขยายอิทธิพลในอุตสาหกรรมยานยนต์ หลังประกาศความยิ่งใหญ่ทั้งในจีน และตลาดโลก

BYD ยังขยายอิทธิพลในตลาดยานยนต์อย่างต่อเนื่อง โดยในเดือน พ.ย. 2024 บริษัทมียอดขายรถยนต์พลังงานใหม่ (NEV) ที่ประกอบด้วยรถยนต์ไฟฟ้าล้วน หรือ BEV และปลั๊กอินไฮบริด หรือ PHEV ทะลุ 500,000 คันเป็นเดือนที่สองติดต่อกัน นับเป็นสถิติที่สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์ในตลาดยานยนต์ไฟฟ้าที่เติบโตอย่างรวดเร็ว

หนึ่งในรถยนต์ไฟฟ้าล้วนที่ทำยอดขายได้ดีคือ Seagull ที่ราคาเริ่มต้นราว 69,800 หยวน ในประเทศจีน หรือราว 3.3 แสนบาท มียอดขายในประเทศจีนสูงที่สุดในเดือน พ.ย. 2024 อีกครั้ง เพราะด้วยราคาที่เข้าถึงได้ง่าย และมีรุ่นใช้น้ำมันเป็นเชื้อเพลิงให้เลือกเช่นกัน อ้างอิงจากรายงานของสำนักข่าว Electrek

BYD Shark

เติบโตเร็วจนค่ายรถดั้งเดิมต้องปรับตัว

การเปลี่ยนผ่านสู่ยานยนต์ไฟฟ้าที่รวดเร็วในตลาดจีน ส่งผลให้ผู้ผลิตรถยนต์รายเดิมต้องปรับตัวอย่างหนัก ไม่ว่าจะเป็น Volkswagen, Toyota, Nissan, Honda, Hyundai, Ford และ General Motors ที่ต่างเผชิญกับการมีส่วนแบ่งการตลาดที่ลดลง

ถึงขั้นบางแบรนด์ต้องปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อลดผลกระทบจากยอดขายที่ลดลง เช่น Ford กับ Stellantis ได้เริ่มดำเนินแผนการลดต้นทุน และเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ขณะเดียวกัน Honda และ Nissan ก็กำลังเจรจาเพื่อควบรวมกิจการในสายยานยนต์ไฟฟ้า โดยหวังสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันกับ BYD และ Tesla

ไม่ใช่แค่ในจีน ตลาดโลกก็โดนรุกราน

ไม่ใช่ยิ่งใหญ่แค่ในตลาดประเทศจีน เพราะ BYD ได้ขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดต่างประเทศอย่างจริงจัง โดยเปิดตัวรุ่นยอดนิยม เช่น DolphinAtto 3 SUV, และ Seagull (หรือที่รู้จักในชื่อ Dolphin Mini ในตลาดต่างประเทศ) ในตลาดสำคัญต่าง ๆ

แผนดังกล่าวทำให้ BYD ขึ้นเป็นแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าชั้นนำในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และลาตินอเมริกา พร้อมทั้งเริ่มสร้างฐานในตลาดคู่แข่งดั้งเดิม เช่น ญี่ปุ่น ยุโรป และเกาหลีใต้ การขยายธุรกิจนี้ไม่เพียงแค่เพิ่มส่วนแบ่งการตลาด แต่ยังสร้างแรงกดดันให้กับผู้ผลิตรถยนต์รายเดิมในตลาดเหล่านั้น

Brand Inside มองว่า การเติบโตของ BYD ในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างอุตสาหกรรมยานยนต์ทั่วโลก ผู้ผลิตรถยนต์ดั้งเดิมที่เคยครองตลาดต้องเผชิญกับแรงกดดันในการปรับตัวเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป

รายงานจาก Nikkei ระบุว่า การควบรวมกิจการระหว่าง Honda และ Nissan ที่กำลังอยู่ในระหว่างการเจรจานั้นมีเป้าหมายเพื่อเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาด EV หากการควบรวมสำเร็จ จะเกิดกลุ่มยานยนต์ที่มียอดขายรวมกว่า 8 ล้านคันต่อปี กลายเป็นหนึ่งในกลุ่มผู้ผลิตยานยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ด้านผู้ผลิตรถยนต์รายอื่น ๆ ยังต้องเร่งปรับกลยุทธ์เพื่อรักษาส่วนแบ่งการตลาดของตนเอง ความเคลื่อนไหวนี้เป็นสัญญาณบ่งบอกถึงการเปลี่ยนผ่านครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมยานยนต์ ซึ่งไม่เพียงแต่จะเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการแข่งขัน แต่ยังส่งผลกระทบต่อผู้บริโภคและนวัตกรรมในอนาคตอีกด้วย

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา