ขณะที่รัฐบาลมีนโยบายเรื่องรถยนต์ไฟฟ้า (EV) และค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นให้ความเห็นในทางเดียวกันว่าควรจะใช้ Hybrid ไปก่อน ด้าน Mercedes-Benz ได้ออกมาแสดงจุดยืนในงานเปิดตัว Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC ได้อย่างน่าสนใจว่าทำไมประเทศไทย จึงควรสนับสนุนและผลักดันการใช้ Plug-In Hybrid ก่อนที่จะใช้งาน EV
ไมเคิล เกรเว่ ประธานบริหาร และ ฟรังค์ ชไตน์อัคเคอร์ รองประธานบริหารฝ่ายขายและการตลาด ของ Mercedes-Benz (Thailand) บอกถึงเรื่องนี้ว่า นโยบายเรื่อง EV ของรัฐบาลเป็นเรื่องที่ดีมาก แสดงให้เห็นถึงความใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม และทิศทางการพัฒนาอุตสาหกรรมของไทย เพื่อรักษาการเป็นศูนย์กลางอุตสาหกรรมรถยนต์ของอาเซียน แต่ต้องกลับมาใส่ใจเรื่องของปัจจัยสนับสนุนการเกิดของ EV ด้วย ซึ่งเวลานี้ประเทศไทยยังไม่พร้อม
อันดับแรกคือ นโยบายสนับสนุนอื่นๆ เกี่ยวกับทางด้านกฎหมายยังไม่ชัดเจน โครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานไฟฟ้า สถานีจ่ายไฟฟ้า ยังไม่มีพร้อม กฎระเบียบเกี่ยวกับการจ่ายไฟฟ้า ซึ่งต้องยอมรับว่าการทำ EV ยากกว่าที่คิด และน่าจะเป็นแนวทางสำหรับรถยนต์ในยุคต่อไป
Plug-In Hybrid ทางเลือกที่ดีที่สุด
ส่วนยุคนี้ น่าจะหันกลับมามองเทคโนโลยี Plug-In Hybrid เป็นหลักมากกว่า ซึ่งเวลานี้รถยนต์ที่ใช้ระบบ Plug-In Hybrid ในตลาดมีมากขึ้นเรื่อยๆ เป็นโอกาสที่ดีของไทยที่จะพัฒนาขึ้นเป็นฐานการผลิตเทคโนโลยี ทั้ง Battery, Converter หรือ Charging ถือเป็นส่วนสำคัญของรถยนต์ที่ใช้พลังงานไฟฟ้า ซึ่งประเทศมาเลเซีย ก็กำลังสนใจอยู่เช่นกัน
ปัจจุบันยังไม่มีมาตรฐาน Charging ที่ใช้ร่วมกัน โดยแต่ละแบรนด์ยังคงพัฒนาและใช้ของตัวเอง เป็นโอกาสที่จะสร้างมาตรฐานกลางร่วมกัน และอาจต่อยอดไปถึงการชาร์จแบบไร้สาย (เหมือนสมาร์ทโฟน) ในอนาคตด้วย ดังนัน้คำตอบของ Mercedes-Benz คือ EV ยังไม่พร้อม อาจต้องรอถึงปี 2025 และเวลานี้ Plug-In Hybrid คือทางเลือกที่ดีที่สุด
ขณะที่ Mercedes-Benz มีรถยนต์ที่ใช้ระบบ Plug-In Hybrid วางจำหน่ายในไทยตั้งแต่ต้นปี 2 รุ่น คือ S-Class 500e และ C-Class 350e มียอดจำหน่ายประมาณ 1,500 คัน และครั้งนี้ได้เปิดตัว GLE 500 e 4MATIC รถยนต์ SUV ที่ใช้ระบบ Plug-In Hybrid เป็นคันล่าสุด
7 เดือนทำยอดได้ดี สวนทางตลาดติดลบ
Mercedes-Benz ได้เปิดเผยยอดขาย 7 เดือนที่ผ่านมาว่า สร้างยอดขายได้ 6,504 คัน เติบโต 8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว โดยมาจากปัจจัยการเปิดตัวรถใหม่อย่างต่อเนื่อง มีตัวแทนจำหน่ายที่ดี และการให้บริการหลังการขายที่มีประสิทธิภาพ ขณะที่ตลาดรวมรถหรู 6 เดือนแรก มียอดขาย 9,769 คัน ติดลบ 4% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว และคาดการณ์ว่าตลาดรวมทั้งปีอยู่ที่ประมาณ 22,000 – 23,000 คัน
อย่างไรก็ตาม การประมาณตัวเลขยอดขายของตลาดรวม อาจมีความคลาดเคลื่อนบ้าง เนื่องจากแต่ละแบรนด์มีการเก็บข้อมูลที่ต่างกัน เช่น รถนำเข้า รวมถึงการมีผู้เล่นในตลาดน้อยราย หากมีรายใดชะลอการทำตลาด จะส่งผลให้ตลาดรวมไม่ถึงที่คาดการณ์ทันที
เปิดตัว Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC รถ SUV electric Driving
รถยนต์ในกลุ่ม SUV ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี Plug-In Hybrid มีให้เลือก 2 ดีไซน์ คือ GLE 500 e 4MATIC Exclusive ราคา 4,490,000 บาท และ GLE 500 e 4MATIC AMG Dynamic ราคา 4,990,000 บาท
Mercedes-Benz GLE 500 e 4MATIC นำเสนอเทคโนโลยีและสมรรถนะการขับขี่ผ่านแคมเปญ DEFINE TOMORROW ผ่านภาพยนตร์โฆษณา ในรูปแบบ ภาพยนตร์สั้น เรื่อง Loopbreaker มี ชมพู่ อารยา เอ. ฮาร์เก็ต แบรนด์แอมบาสเดอร์ Mercedes-Benz (Thailand) นำแสดงภายใต้การกำกับของ เป็นเอก รัตนเรือง สามารถคลิกชมได้ที่นี่ Loopbreaker
สำหรับโหมดการทำงานของ Mercedes-Benz electric Driving มีให้เลือก 4 แบบ คือ Hybrid, E-Mode, E-Save และ Charge หรือระบบควบคุมรถอัจฉริยะ ที่จะทำงานโดยอัตโนมัติเพื่อปรับการทำงานของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าให้เหมาะสม
HYBRID: รถยนต์จะถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า โดยระบบจะเน้นไปที่การใช้งานมอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนให้มากที่สุด และใช้เครื่องยนต์ขับเคลื่อนเท่าที่จำเป็น หากกระแสไฟในแบตเตอรี่มีปริมาณต่ำกว่า 20% ระบบจะใช้เครื่องยนต์ในการขับเคลื่อนเท่านั้น และถ้าผู้ขับขี่ปรับเกียร์อัตโนมัติเป็นโหมดสปอร์ต (S) รถยนต์จะถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียวมอเตอร์ไฟฟ้าจะไม่ทำงาน
E-MODE: สามารถขับเคลื่อนโดยใช้พลังงานไฟฟ้าอย่างเต็มรูปแบบ (ใช้มอเตอร์ไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว) ได้จนถึงความเร็ว 130 กิโลเมตรต่อชั่วโมง เป็นระยะทางสูงสุด 30 กิโลเมตรโดยไม่มีการคายไอเสีย (ขึ้นอยู่กับระดับพลังงานของแบตเตอรี่และความเร็วที่ใช้) ผู้ขับขี่จะต้องไม่กดแป้นคันเร่งจนเกินแรงต้าน ไม่เช่นนั้นเครื่องยนต์จะเข้ามาทำหน้าที่ขับเคลื่อนรถยนต์ทันที
E-SAVE: ในขณะที่เริ่มต้นใช้ E-SAVE ระดับกระแสไฟฟ้าที่มีอยู่ในแบตเตอรี่ high-volt ในขณะนั้นจะถูกบันทึกค่าไว้ จากนั้นระบบจะใช้เครื่องยนต์เป็นหลักในการขับเคลื่อน ส่วนมอเตอร์ไฟฟ้าจะถูกใช้น้อยที่สุด เพื่อรักษาระดับกระแสไฟฟ้าในแบตเตอรี่ให้มีปริมาณเท่าเดิมกับตอนเริ่มต้น เช่น เลือกใช้ E-SAVE เมื่อเจอการจราจรหนาแน่น จะมีปริมาณกระแสไฟสูงสุดที่จะใช้ E-MODE สำหรับการเดินทางในเมืองได้อย่างเต็มที่
CHARGE: การทำงานในรูปแบบนี้ รถยนต์จะถูกขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เพียงอย่างเดียว โดยแบตเตอรี่ high-volt จะถูกรักษาระดับการชาร์จให้อยู่ในระดับปานกลางในขณะขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์ และจะไม่มีการใช้มอเตอร์ไฟฟ้าในการขับเคลื่อนเลยเพื่อให้เกิดการชาร์จกระแสไฟฟ้าเข้าไปเก็บไว้ในแบตเตอรี่ high-volt อย่างต่อเนื่อง เมื่อชาร์จไฟเต็ม ระบบจะปรับไปที่การทำงานในรูปแบบ E-SAVE โดยอัตโนมัติ
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา