ถ้าพูดถึงเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง หลายสำนักก็จะบอกว่าดีขึ้น แต่ถ้าไปดูตัวเลขคนว่างงานทุกภาคส่วน จะพบว่าตกงานเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 85,000 คน ในขณะที่ JobsDB.com ระบุว่า พนักงานออฟฟิศยังเป็นที่ต้องการของตลาด
หลายประเทศในอาเซียนซบเซา แต่เราเติบโต
แม้ว่าตัวเลขการคาดการณ์ของธนาคารโลกจะบอกว่า เศรษฐกิจไทยปี 2560 จะดีขึ้น GDP จะอยู่ที่ 3.5% ส่วนปีที่แล้วอยู่ 3.2% แต่ตัวเลขคนว่างงานโดยสำนักงานสถิติแห่งชาติ (ในเดือนกรกฎาคม 2560) ระบุว่า คนไทยว่างงานเพิ่มขึ้น 476,000 คน เพิ่มจากปีที่แล้วกว่า 85,000 คน แต่ต้องบอกว่าตัวเลขเหล่านี้เป็นภาพรวมของตลาดแรงงานทั้งหมด ถ้าเจาะไปเฉพาะพนักงานออฟฟิศ (White Collar) จะพบว่ายังเป็นที่ต้องการของตลาดมาก เราพาไปดูผลสำรวจจาก JobsDB.com ที่ได้ศึกษาเรื่องนี้ไว้
ก่อนอื่นผลสำรวจของ JobsDB.com นี้ ทำการศึกษาตัวแทนบริษัทกว่า 1,000 คนในอาเซียนและคนหางานอีก 5,000 คน โดยการสำรวจนี้จัดทำในประเทศเวียดนาม ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และประเทศไทย
ผลสำรวจไปในทิศทางใกล้กันคือ 50% ของทุกประเทศในภูมิภาคนี้ต้องการคนมาทดแทนตำแหน่งงานที่ว่างลง ส่วนอีก 22% ต้องการขยายกิจการเพิ่ม นั่นหมายความว่าต้องการจ้างงานเพิ่มมากขึ้น โดย “ไทย” เป็นประเทศอันดับที่ 3 ที่จะมีการจ้างงานเพิ่ม (ขอย้ำว่าในหมวดพนักงานออฟฟิศเท่านั้น) รองลงมาจากเวียดนามและฟิลิปปินส์
นพวรรณ จุลกนิษฐ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท จัดหางาน จ๊อบส์ ดีบี (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า “ถ้าเทียบกับค่าเฉลี่ยของอาเซียนแล้ว ไทยมีอัตราการจะจ้างงานสูงกว่า ส่วนหนึ่งมาจากเศรษฐกิจที่ดีขึ้น อีกส่วนมาจากขยายธุรกิจของผู้ประกอบการ และความเชื่อมั่นของผู้บริโภค”
“แต่ปัญหาคือในไทย ช่องว่างในการหางานยังสูงมาก คือคนหางานกับผู้ประกอบการยังไม่สอดคล้องกัน” หรือพูดอีกแบบคือ ผู้ประกอบการมีความต้องการพนักงานมาเติมเต็มในธุรกิจและกิจการที่ขยายตัวเพิ่มขึ้น แต่ในด้านคนหางานยังไม่สามารถเข้าถึงข้อมูล หรือรับรู้ รวมทั้งยังมีทัศนคติที่แตกต่างออกไปค่อนข้างมาก
ช่องว่างหางานสูง ผู้ประกอบการ vs คนหางาน
จากการสำรวจทำให้เห็นภาพชัดขึ้น ถ้าเทียบการคาดการณ์ตลาดของฝั่ง “ผู้ประกอบการ” กับ “คนหางาน” จะชัดเจนมากขึ้น
เริ่มจากภาพรวมเฉลี่ยของตลาดที่ผู้ประกอบการให้คะแนนอยู่ที่ 4.3 ส่วนทางฝั่งคนหางานให้คะแนนเพียง 3.43 จาก 7 คะแนนเต็มทั้งคู่
ผลสำรวจระบุว่า ในด้านผู้ประกอบการไทยที่ให้คะแนนภาพรวมตลาดดีขึ้นเพราะมองเศรษฐกิจเป็นบวก ยิ่งถ้าเทียบกับประเทศในอาเซียนจะชัดเจนมาก เพราะไทยเป็นประเทศที่จะขยายกิจการและจ้างงานเพิ่มที่ 43% ส่วนค่าเฉลี่ยของประเทศในอาเซียนอยู่ที่ 22% เท่านั้น
ส่วนในด้านคนหางานที่ให้คะแนนออกมาค่อนข้างต่ำ มาจากปัจจัยหลายประการด้วยกันคือ ความท้าทายจากการแข่งขันในสายงานที่เพิ่มมากขึ้น ตลาดงานที่มีความหลากหลายมากขึ้น-ต้องการทักษะที่หลากหลาย และอีกอย่างคือธุรกิจสตาร์ทอัพจะประสบความสำเร็จและเติบโตได้ดี ทำให้การทำงานในบริษัทเป็นเรื่องที่คนหางานมองว่าน่าจะมีความต้องการต่ำ
แต่ในความเป็นจริงไม่เป็นเช่นนั้น เพราะผลสำรวจของ JobsDB.com ยืนยันว่าภาคธุรกิจยังต้องการพนักงานออฟฟิศเป็นจำนวนมาก (ดูได้จากตัวเลขผลสำรวจของไทยที่พุ่งสูงขึ้นกว่าค่าเฉลี่ยอาเซียน)
ธุรกิจสายสุขภาพ-ไอที มาแรง แต่คนไทยถูกผลิตน้อยเกินไป
ผลสำรวจยังบอกอีกว่า ธุรกิจที่จะมาแรงในอนาคต (ศึกษาจากทั้งมุมผู้ประกอบการและคนหางาน) คือธุรกิจสุขภาพและไอที
สำหรับธุรกิจสุขภาพ ผลสำรวจพบว่า ผู้ประกอบการให้คะแนน 7 เต็ม 7 หมายความว่า ธุรกิจจะขยายตัวอย่างมาก ส่วนเหตุผลมาจากการที่ไทยเป็นฮับด้านสุขภาพ มีการบริการทางการแพทย์ที่ดี และราคาเหมาะสม ไม่แพงเกินไป ส่วนด้านคนหางานก็เช่นเดียวกัน ให้คะแนนถึง 6 เต็ม 7 แต่ปัญหาของประเทศไทยคือ ยังผลิตคนเหล่านี้ออกมาไม่มากพอต่อความต้องการของตลาด ส่วนสายไอที เป็นเรื่องที่เข้าเห็นแนวโน้มอย่างดีในโลกยุคดิจิทัล แต่ไทยก็ยังผลิตไม่ทัน ดูเพิ่มเติมได้ที่นี่
ทักษะที่สูงขึ้นคือสิ่งสำคัญของการหางานในอนาคต
ทักษะที่ตลาดต้องการจากคนหางานทั้งหลาย นอกจากความรู้ลึกๆ ในศาสตร์สาขานั้นแล้ว แต่การเปิดกว้างเป็นสิ่งสำคัญสูงสุด การเปิดรับสิ่งใหม่ๆ จะเป็นการต่อยอดทักษะได้อีกมาก แต่ทั้งนี้การเปิดกว้างต้องมาพร้อมกับทักษะภาษาอังกฤษที่สามารถสื่อสารได้ เพราะความรู้ในโลกยุคใหม่อยู่ในภาษาอังกฤษไม่น้อย การไม่รู้ภาษาอังกฤษจึงหมายความว่า คุณจะไม่รู้ข้อมูลอีกมากที่เป็นประโยชน์ ส่วนอย่างสุดท้ายคือ การรู้จักเทคโนโลยี คือคุณต้องก้าวข้ามการใช้โปรแกรมพื้นฐานอย่าง Microsoft Office ไปแล้ว แต่ต้องมีความสามารถในการใช้เทคโนโลยีที่หลากหลาย และพร้อมจะรับไอทีใหม่ๆ ที่จะเกิดขึ้นในสายงานของคุณด้วย
สรุป
แม้ปีนี้ภาพรวมตลาดแรงงานไทยจะตกงานเพิ่มขึ้น แต่ไทยก็เป็นประเทศที่จะมีการขยายการจ้างงานสำหรับ White Collar มากขึ้น ผู้ประกอบการให้ความเชื่อมั่นสูง นั่นหมายความว่า จะมีการจ้างงานเกิดขึ้นจำนวนมากขึ้นในคนกลุ่มนี้ แต่ปัญหาคือคนหางานทั้งหลายยังเข้าไม่ถึงสิ่งเหล่านี้
ทางออกที่เป็นไปได้ในขั้นแรกคือ เหล่าผู้ประกอบการและบริษัทที่ต้องการจ้างงานทั้งหลายต้องทำสิ่งที่เรียกว่า “Company Branding” มากกว่านี้ เพราะต่อให้คนรู้จักแบรนด์สินค้าของคุณ แต่ถ้าไม่รู้จักบริษัทของคุณ โอกาสที่จะดึงคนเก่งๆ เข้ามาในบริษัทก็จะเป็นเรื่องยาก
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา