ผมเป็นแฟนคลับตัวยงของ Dan Brown ผู้เขียนหนังสืออย่าง Davinci Code,Angel And Demon และล่าสุดที่กำลังจะออกมาเป็นภาพยนต์อย่าง Inferno ประเด็นน่าสนใจของเรื่อง Inferno คือการเขียนถึงความตั้งใจจะคุมกำเนิดไม่ให้มนุษย์โลกมีจำนวนมากเกินไปเพราะจะทำให้ทรัพยากรต่างๆถูกทำลายไปมากกว่านี้ และมีการยกตัวอย่างสมัยไข้กาฬโรคในยุคกลางที่คร่าชีวิตคนยุโรปไปจำนวนมากจนถูกเรียกว่าเป็นยุคมืด แต่หลังจากนั้นโลกก็เข้าสู่ฟื้นฟูศิลปะวัฒนาการ หรือ เรเนอซอง จนทำให้โลกเติบโตก้าวหน้าจนถึงวันนี้ (ขออภัยถ้าสปอยล์)
หากนำสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีตมาวิเคราะห์ต่อ จะเห็นได้ว่าเมื่อใดที่โลกมีปัญหาภายหลังจากการเกิดวิกฤต โลกจะกลับมาเดินไปข้างหน้าได้เสมอ อย่างเช่น หลัง Hamburger Crisis ปี 2007 ตลาดหุ้นทั่วโลกก็กลับมาได้อย่างแข็งแกร่งในเวลาสั้นและทำ All Time High กันไปหลายตลาด แม้แต่ตลาดหุ้นไทยก็วิ่งขึ้นจากระดับ 400 จุดไปเกือบถึงจุดสูงสุดเดิมสมัยก่อนต้มยำกุ้งที่ 1,650 จุด
นักการเงินเคยมอง Hamburger Crisis ปี 2007 ว่าเป็น Great Depression หรือมรสุมทางเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษย์ชาติ ซึ่งเราก็ผ่านมันมาได้ สหรัฐอเมริกาก็กำลังจะขึ้นดอกเบี้ยเป็นครั้งแรกในรอบเป็นสิบๆ ปี แต่เราฝันดีกันได้ไม่นาน เศรษฐกิจโลกก็ดูจะแย่ๆ ลงไปอีกแล้ว ราคาน้ำมันที่ถูกเทขายจากระดับร้อยกว่าเหรียญต่อบาร์เรลจนเหลือแค่ 40 กว่าเหรียญ หลายประเทศไม่สามารถขึ้นดอกเบี้ยได้เพราะเศรษฐกิจย่ำแย่ แถมยังต้องกลืนเลือดยอมให้ดอกเบี้ยติดลบไปอีก
หลายประเทศต้องอัดฉีดนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างญี่ปุ่นต้องทุ่มเงิน 27 ล้านล้านเยนเข้ามากระตุ้นทางการคลังและแบงก์ชาติญี่ปุ่นก็ยังอัดฉีดเงินเข้าระบบไปเพิ่มอีก ไหนจะธนาคารในยุโรปที่ยังมีปัญหาหนี้สิน หนี้ที่ไม่เกิดรายได้รวมกันกว่า 1 ล้านล้านยูโร เศรษฐกิจจีนที่ยังกระท่อนกระแท่นแถมยังมีหนี้นอกระบบอีกกว่า 1 ล้านล้านเหรียญ ที่รอวันปะทุ
มุมมองของผม ปัญหาเศรษฐกิจโลกที่เกิดขึ้นตอนนี้มาจาก “การผลิต” ที่เกินความจำเป็น จากการเร่งสร้างขึ้นภายหลังวิกฤตปี 2007 โดยเฉพาะประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่อย่างจีน บราซิล รัสเซีย ฯลฯ เห็นได้จากราคาสินค้าโภคภัณฑ์อย่าง น้ำมัน เหล็ก สินค้าเกษตร ที่ถูกเทขายอย่างหนักมาตั้งแต่ปีที่แล้ว แม้แต่สินค้าไอทีอย่างสมาร์ทโฟนที่ว่าขายดี ก็ยังผลิตเกินความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภค
คำถามคือ เศรษฐกิจโลกไม่ดีแล้วทำไมตลาดหุ้นถึงขึ้น?? เพราะสภาพคล่อง (เงินที่ถูกพิมพ์ออกมาอย่างอิสระโดยไม่มีหลักประกัน) ที่มีอยู่ทั่วโลกมันล้นไปหมด ดอกเบี้ยที่ต่ำทั่วโลก พันธบัตรที่ให้ผลตอบแทนติดลบ ทำให้เงินที่มีบนโลกต้องไปลงในสินทรัพย์เสี่ยงอย่างเช่นตลาดหุ้น
จะพูดว่าเศรษฐกิจโลกไม่ได้ฟื้นตัวหรือดีขึ้นภายหลัง Hamburger Crisis ปี 2007 ก็คงจะเป็นเรื่องจริง แต่เพราะวิกฤตการเงินที่เกิดขึ้น ทำให้ภาวะฟองสบู่ตลาดหุ้นและอสังหาริมทรัพย์ในเวลานั้น “แตก” ตัวลง ภาวะเศรษฐกิจจึงได้เข้าสู่ความสมดุลและมีช่องว่างในการเติบโตได้ (เห็นได้จากหลังวิกฤตจบ ตลาดหุ้นประเทศเกิดใหม่รวมถึงไทยปรับตัวขึ้นหมด)
เศรษฐกิจโลกที่ว่าเติบโตขึ้นหลายปีที่ผ่านมา อาจจะไม่ได้เป็นการเติบโตจริงก็ได้ แค่เป็นการโตที่เข้ามาเติมเต็มส่วนที่หายไปหลังเกิดวิกฤตเท่านั้น
สรุป วิธีที่จะทำให้เศรษฐกิจโลกกลับมาเติบโตได้อีกครั้ง อาจจะต้องเกิดวิกฤตการเงินขึ้นอีกสักรอบ ระบบเศรษฐกิจจะสร้างสมดุลใหม่ ราคาสินทรัพย์ต่างๆ จะเข้าสู่ภาวะปกติ และหลังจากนั้นเศรษฐกิจและตลาดหุ้นทั่วโลกจะกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้ง โดยจะเข้าสู่ยุค New Normal ซึ่งเป็นมาตราฐานโลกใหม่ เดาว่าอาจจะเข้าสู่ยุคเทคโนโลยีอย่างเต็มตัวก็ได้
มีทฤษฎีสมคบคิดที่น่าสนใจเกี่ยวกับตัวเลข สมัยวิกฤตต้มยำกุ้งเกิดขึ้นในปี 1997 วิกฤตซับไพร์มและ Hamburger Crisis เกิดขึ้นในปี 2007 ส่วนปีหน้า 2017 จะเกิดวิกฤตหรือไม่…คิดต่อเอาเองครับ
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา
Related