ชีวิตของเด็กจบใหม่ถือเป็นหนึ่งในช่วงวัยที่น่ากลัวที่สุดสำหรับหลายๆ คน เพราะเป็นช่วงที่เราต้องเปลี่ยนจากสถานะของนักเรียน อาชีพที่เราทำกันมาตั้งแต่ 4-5 ขวบ สู่วัยทำงาน ที่เราก็ไม่รู้ว่าจะมีบริษัทไหนรับเด็กไม่มีประสบการณ์ไหม
สำหรับจีนแล้ว ในฐานะประเทศที่ประชาชนเริ่มหันมาสนใจในวุฒิการศึกษามากขึ้นเรื่อยๆ บัณฑิตจบใหม่กว่า 11.79 ล้านคนกำลังเผชิญปัญหานี้อย่างหนัก และเหลืออีกแค่สองเดือนเท่านั้นก่อนที่พวกเขาทุกคนจะเข้ารับปริญญาแล้วกลายเป็นคนว่างงานโดยสมบูรณ์
อ้างอิงจาก Zhaopin บริษัทบริหารทรัพยากรแห่งหนึ่ง เมื่อกลางเดือนเมษายนที่ผ่านมา มีเพียง 48% ของนักศึกษาจบใหม่เท่านั้นที่หางานทำได้แล้ว ลดลงจากปีก่อนประมาณ 2.4%
โดยปกติแล้วสัดส่วนของนักศึกษาจบใหม่ที่หางานทำได้ก่อนรับปริญญานั้น จะอยู่ที่ 75% แต่เมื่อเกิดวิกฤติการระบาดของโควิด 19 แล้วรัฐบาลจีนล็อกดาวน์เซี่ยงไฮ้ทั้งเมือง ในปี 2022 อัตราการได้งานของเด็กเหล่านี้เหลือไม่ถึง 50% ด้วยซ้ำ
บริษัทรายได้ลดพาลให้นักศึกษาไร้งานทำ
ปัจจุบัน บริษัทเอกชนหลายแห่งในจีน เช่นบริษัทเทค บริษัทอสังหาริมทรัพย์ และ บริษัทกวดวิชา
จากที่เคยเป็นแหล่งหางานยอดฮิตของคนรุ่นใหม่ ก็กลายเป็นเริ่มลดการจ้างงานลงเรื่อยๆ เนื่องจากรัฐบาลเข้ามาแทรกแซง เพื่อควบคุมพฤติกรรมตลาดผู้ขายน้อยราย (Oligopoly) หรือกระจายฟองสบู่ออกไปยังอุตสาหกรรมต่างๆ มากขึ้น
องค์กรอื่นๆ ก็เริ่มลดบุคลากรแล้วเช่นกัน ยกตัวอย่างของ SAIC Motor บริษัทยานยนต์ที่ร่วมค้ากับ Volkswagen และ General Motor ได้ลดการจ้างงานออกราวๆ 9,000 ตำแหน่งภายใน 4 ปี (2019-2023) หรือทาง Dongfeng Motor ที่ก็ไล่พนักงานออกไปประมาณ 2,600 คน
สู้รัฐบาลไม่ได้ ก็เข้าร่วมซะเลย
ในเมื่อรัฐบาลจะเข้ามาแทรกแซงจนเอกชนไม่อยากรับคนเพิ่ม นักศึกษาจบใหม่ทั้งหลายจึงเริ่มเบนความสนใจไปทำงานให้กับภาครัฐแทน
Zhaopin เผยว่าในตอนนี้มีแค่ 13% ของเด็กจบใหม่ที่สนใจจะทำงานในบริษัทเอกชน ลดลงจากปี 2020 ถึง 25% ในขณะเดียวกัน มีเด็กจบใหม่ถึง 48% ต้องการทำงานในบริษัทของรัฐเพื่อหวังจะได้งานที่มั่นคง
ที่สำคัญ โดยเฉลี่ยแล้วมีนักศึกษาจบใหม่เข้าสอบข้าราชการถึงรอบละ 77 คน ถือว่าเป็นจำนวนที่มากกว่าปีที่ผ่านมาไม่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้น บุคลากรวัย 30 ปีขึ้นไป ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและอื่นๆ เองก็เริ่มรู้สึกอยากย้ายงานเนื่องจากไม่มั่นใจในความมั่นคงของอาชีพที่ดำรงอยู่
มีงานทำ แต่เงินที่ได้ก็ยังไม่พอกิน
Liu Chang อดีตนักศึกษาจบใหม่จากสาขาการฝังเข็มและการนวดแผนจีน ได้ทำงานประจำอยู่ที่โรงพยาบาลชุมชนแห่งหนึ่งมาตั้งแต่ปี 2022 แล้ว แต่เงินเดือนที่ได้นั้นก็ยังไม่มากพอสำหรับการเลี้ยงชีพ
สุดท้าย เมื่อกันยายน 2023 Liu ก็ได้ตัดสินใจเปิดร้านอาหารข้างทางเพื่อเป็นรายได้เสริม เขาเผยว่า “ในช่วงที่ของขายดี ผมจะออกมาตั้งแผงทุกคืนและได้เงินประมาณ 20,000 – 25,000 บาทต่อเดือน เทียบเท่ากับเงินที่ได้จากงานประจำเลย”
ปัญหานี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับ Liu เพียงคนเดียวเท่านั้น แต่เปอร์เซ็นต์การว่างงานของคนจีนวัย 16 -24 ปี กำลังจะทะยานขึ้นไปถึง 21.3% ในเดือนนี้ และเมื่อเอกชนไม่ค่อยอยากรับคนเพิ่ม เด็กๆ ก็ต้องหันมาทำงานค้าขายเพื่อประทังชีวิตไปก่อน
Liu เล่าว่า “เพื่อนๆ ของผมก็ทำแบบนี้เหมือนกัน พวกเขาไม่สามารถหาเงินมาซื้อบ้านได้เลยต้องมาเช่าห้องอยู่แทน และพวกเขาเองก็แทบจะไม่มีเงินพอกินเลยด้วยซ้ำ”
สุดท้ายนี้ ประเทศจีนจะรับมือกับปัญหาการว่างงานของนักศึกษาที่เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ อย่างไร เอกชนจะมีโอกาสรับพนักงานเพิ่มหรือไม่ และจะต้องมีเด็กอีกกี่ล้านคนที่ต้องทำงานหามรุ่งหามค่ำเพื่อประทังชีพตนเองไปพลางๆ เหมือนกับ Liu Chang
แหล่งอ้างอิง: NIKKEI Asia / VOA
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา