ผู้จัดการกองทุน “เฮดจ์ฟันด์” กำลังตกงานเพราะ A.I (ตอนที่ 1)

เป็นอันรู้กันว่าเทคโนโลยีด้านการเงินหรือฟินเทคกำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมการเงินในหลายๆด้าน หลักๆคือการลดจำนวน “คน” ที่ทำงานอยู่ในอุตสาหกรรมการเงินลง โดยเฉพาะพนักงานหน้าเคาน์เตอร์ทั่วไป แต่ไม่น่าเชื่อว่าตำแหน่งงานด้านการเงินที่ได้ชื่อว่า “ค่าตัวแพง” เป็นอันดับต้นๆ อย่างผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ (Hedge Fund) ก็มีสิทธิตกงานเพราะเทคโนโลยีอย่าง A.I และ Machine Learning

ภาพจาก Pexels.com

เฮดจ์ฟันด์ คือกองทุนที่มีนโยบายลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ที่หลากหลาย ตั้งแต่หุ้น อนุพันธ์ ค่าเงิน สินค้าโภคภัณฑ์ ฯลฯ ด้วยกลยุทธ์การลงทุนที่ไม่จำกัดโดยเน้นสร้างผลตอบแทนให้ได้สูงสุด

ข้อมูลจากเวบไซท์ Fortunes ระบุว่า BlackRock บริษัทบริหารสินทรัพย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกประกาศว่าจะลดจำนวนพนักงานส่วนของ Portfolio Manager กว่า 40 ตำแหน่ง โดยจะนำเทคโนโลยี A.I (Artificially Intelligent) หรือปัญญาประดิษฐ์มาใช้พัฒนาระบบการเทรดหุ้นแทน

แทนที่จะใช้การตัดสินใจจากมนุษย์ก็เปลี่ยนมาใช้การตัดสินใจจากหุ่นยนต์ที่ได้รับการป้อนข้อมูล สถิติและชุดคำสั่ง เพื่อประมวลผลการคัดเลือกหุ้นและสินทรัพย์ต่างๆ แทน

ภาพจาก Pexels.com

ใช้งานหุ่นยนต์ถูกกว่าผู้จัดการกองทุนค่าตัวแพง

การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเป็นเพราะ “ค่าตัว” ที่แพงระยับของบรรดาผู้จัดการกองทุน ซึ่งสะท้อนกลับไปยังการเก็บค่าธรรมเนียมการลงทุนของลูกค้า ที่โดยทั่วไปจะเก็บอยู่สองเด้งคือ ค่าธรรมเนียมดำเนินงาน (Management Fee) ที่ 2% ไม่นับค่าแรกเข้า และส่วนแบ่งจากผลงาน (Performance Fee) ตั้งแต่ 20% ขึ้นไปของกำไรที่ทำได้ ทำให้นักลงทุนมองหากองทุนที่เก็บค่าธรรมเนียมถูกลง

สอดคล้องกับบทวิจัยโดย Opimas ที่ระบุว่าหากนำเทคโนโลยี A.I มาใช้แทนมนุษย์อาจลดต้นทุนดำเนินงานลงได้ถึง 28% รวมถึง PWC ก็ระบุด้วยว่าหุ่นยนต์หรือระบบอัตโนมัติต่างๆ จะทำให้คนอเมริกันตกงานถึง 38% ภายในปี 2030 และภายในปี 2025 สถาบันการเงินต่างๆ จะลดแรงงานมนุษย์ลง 10% หรือกว่า 230,000 ตำแหน่ง

นอกจาก BlackRock ยังมีผู้จัดการกองทุนเฮดจ์ฟันด์ขนาดใหญ่อีกหลายรายที่กำลังศึกษาและพัฒนา A.I ในการจัดการกลยุทธ์การลงทุนแทนมนุษย์ ถึงขั้นมีคำกล่าวว่า Silicon Valley กำลังคุกคามอุตสาหกรรมการเงินที่ Wall Street อย่างหนักหน่วง รายละเอียดเป็นอย่างไร เดี๋ยวจะมาเล่าต่อในตอนต่อไป

ภาพจาก Pexels.com

สรุป

ถ้าเป็นพนักงานบริการการเงินทั่วไปที่ไม่ต้องพึ่งพาทักษะอะไรมากนักจะตกงานเพราะเทคโนโลยีอาจไม่แปลกใจนัก แต่สำหรับผู้จัดการกองทุนที่ต้องอาศัยทักษะและประสบการณ์ในการคัดเลือกสินทรัพย์ในการลงทุน ยังถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยี ความฉลาดของ A.I มันช่างน่ากลัวจริงๆ

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา