Toyota เปิดตัว Prius โฉมใหม่ หรือ Generation ที่ 4 เมื่อวันที่ 16 พ.ย. 2022 ถือเป็นการสืบต่อตำนานรถยนต์ไฟฟ้า Hybrid ที่เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 1997 และมียอดขายสะสมกว่า 20.3 ล้านคัน ทั่วโลก
แต่ในเวลานั้นผู้ผลิตรถยนต์รายอื่น และผู้บริโภคต่างให้ความสำคัญกับรถยนต์ไฟฟ้าล้วน หรือ Battery Electric Vehicle (BEV) มากกว่า และมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่ยังสนใจกับรถยนต์ไฟฟ้า Hybrid อยู่
ทำไม Toyota ถึงยังให้ความสำคัญกับรถยนต์ไฟฟ้า Hybrid และทำตลาดรุ่น Prius อย่างต่อเนื่อง ลองมาฟังเหตุผลของการที่ Hybrid และ Prius ต้องมีอยู่จากผู้บริหารระดับสูงของ Toyota กัน
Prius กับความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของ Toyota
Simon Humphries ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายออกแบบของ Toyota Motor Corporation (TMC) เล่าให้ฟังว่า Prius เปิดตัวครั้งแรกเมื่อปี 1997 โดยชื่อนั้นตั้งมาจากภาษาละตินที่แปลว่า Pioneer หรือ ผู้บุกเบิก และ Prius ก็ทำได้สมชื่อ เพราะสร้างแรงกระเพื่อมให้กับตลาดรถยนต์ในการทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้า Hybrid มากขึ้น
ตั้งแต่ปี 1997 ถึงปัจจุบัน Prius ถูกจำหน่ายไปทั่วโลกถึง 20.3 ล้านคัน ช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์กว่า 162 ล้านตัน โดยในสหรัฐอเมริกาจำหน่ายไปกว่า 5.2 ล้านคัน ลดมลพิษได้ 82 ล้านตัน ส่วนในญี่ปุ่น Prius มีส่วนช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ลงกว่า 23% เมื่อเทียบกับ 20 ปีก่อน
เรื่องดังกล่าวนับเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ของ Prius และ Toyota เพราะไม่ใช่แค่ช่วยลดมลพิษ แต่เป็นการสื่อให้ผู้บริโภครับรู้ว่า การใช้งานรถยนต์ไม่ได้ถูกจำกัดเชื้อเพลิงแค่น้ำมันเบนซิน หรือดีเซล แต่พลังงานไฟฟ้าก็ขับเคลื่อนรถยนต์ได้ และรักษ์โลกไปในเวลาเดียวกัน
Hybrid กับรถยนต์ไฟฟ้าล้วนต้องไปคู่กัน
แม้ Akio Toyoda อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ (President) และประธานคณะกรรมการบริหาร (CEO) ของ Toyota จะประกาศเตรียมทำตลาดรถยนต์ไฟฟ้าล้วน 30 รุ่น เมื่อปลายปี 2021 ภายใต้แนวคิด EV for Everyone แต่ Toyota ยังพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า Hybrid, Plug-in Hybrid และ Fuel-Cell ควบคู่ไปด้วย
เพราะเขามองว่า รถยนต์ไฟฟ้าล้วนคือคำตอบที่ถูกต้องของรถยนต์ในอนาคต แต่เทคโนโลยีดังกล่าวไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สำหรับทุกคน ยิ่งในโลกตอนนี้ที่มีความหลากหลาย และแตกต่าง Toyota จึงต้องมีทางเลือกของรถยนต์ไฟฟ้าให้หลากหลายเช่นกัน
“รถยนต์ไฟฟ้าล้วนกลายเป็นส่วนสำคัญในการเดินหน้าธุรกิจของ Toyota ตั้งแต่ปลายปี 2021 แต่การรักษ์โลกด้วยการส่งเสริมความเป็นกลางทางคาร์บอน หรือ Carbon Neutrality รถยนต์ไฟฟ้า Hybrid ทำมาตั้งแต่แรก และการมีรถยนต์ไฟฟ้าแบบอื่นเพิ่มเข้ามาย่อมช่วยให้เรื่องดังกล่าวไปถึงเป้าหมายได้ดีขึ้น” Akio Toyoda ชี้แจง
นั่นคือเหตุผลที่ Prius ยังต้องทำตลาดอยู่ต่อไป
หากอ้างอิงจากคำชี้แจงของ Akio Toyoda ทำให้ Prius ต้องทำตลาดต่อไป ผ่านการเป็นรถยนต์รักษ์โลกที่ใคร ๆ ก็สามารถเข้าถึงได้ ซึ่ง Generation ที่ 4 นี้มากับความเป็นรถยนต์ไฟฟ้าแบบ Hybrid ดั้งเดิม และ Plug-in Hybrid เพื่อให้การขับขี่มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ยิ่งเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนจะเกิดขึ้นได้ต้องอาศัยทุกคนบนโลกร่วมมือกัน ดังนั้นรถยนต์ไฟฟ้าที่จะส่งเสริมเรื่องนี้ได้ต้องเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่เข้าถึงได้ทุกคน ซึ่ง Prius นั้นมีจุดเด่นเรื่องการเข้าถึงง่าย ผ่านความคุ้นชินของเทคโนโลยี และราคาที่เอื้อมถึง
“Prius คือรถยนต์ไฟฟ้าที่ขับขี่ได้ทุกคน ไม่ใช่แค่คนส่วนน้อย จุดนี้ทำให้ Prius แข็งแกร่ง และไม่ควรหายไปจากตลาดในเวลานี้ ถึงผู้ผลิตรถยนต์ต่าง ๆ จะอยู่ระหว่างพัฒนารถยนต์ไฟฟ้าให้ไปถึงเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอน แต่ก็ยังถกเถียงกันว่ารถยนต์ไฟฟ้าแบบใดให้ผลได้ดีที่สุด” Simon Humphries กล่าว
Prius กับการเป็นรถยนต์ไฟฟ้าที่ทุกคนรัก
นอกจากนี้ Akio Toyoda ยังต้องการให้ Prius โฉมใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวเป็นเหมือนสินค้าที่ใช้ประจำ (Commodity) หรือรถยนต์ไฟฟ้าที่ทุกคนรัก ผ่านการใช้งานอย่างแพร่หลาย ทั้งในฝั่งการใช้งานของคนทั่วไป และการใช้งานเพื่อการพาณิชย์ เพราะยิ่งมีการใช้งานมาก ก็ยิ่งเกิดการรักษ์โลกที่มากขึ้น
Akio Toyoda ยังวางแผนจำหน่าย Prius ในรูปแบบรับผลิตให้ผู้สนใจ (OEM) เพราะต้องการแบ่งปันเทคโนโลยีดังกล่าวแพร่หลายมากขึ้น ไม่ได้อยู่แค่กลุ่ม Toyota ช่วยขับเคลื่อนให้เกิดความเป็นกลางทางคาร์บอนอีกทางผ่านการร่วมมือกันของผู้ผลิตรถยนต์ทุกราย ไม่จำกัดแค่รายใดรายหนึ่ง
เมื่อวันที่ 8 ก.พ. 2023 Toyota ได้เริ่มจำหน่าย Prius เครื่องยนต์ Hybrid ในตลาดญี่ปุ่น วางราคาขายปลีกแนะนำไว้ที่ 2.75-3.92 ล้านเยน หรือราว 7.05 แสนบาท ถึง 1 ล้านบาท ส่วนรุ่น Plug-in Hybrid จะจำหน่ายในเดือน มี.ค. 2023
เจาะจุดเด่น Prius Generation ที่ 4
Toyota ได้แจ้งจุดเด่นของ Prius Generation ที่ 4 ประกอบด้วย งานออกแบบที่แตกต่าง และทันสมัย ทำให้ตัวรถดูโฉบเฉี่ยวมากกว่ารุ่นก่อน เช่น การลดความสูงของรถยนต์, การเพิ่มความยาวให้ฐานล้อ รวมถึงล้อขอบ 19 นิ้ว ที่ดูสปอร์ตกว่าขอบ 15 นิ้ว ในรุ่นเดิม
Prius Generation ที่ 4 ที่จำหน่ายในประเทศญี่ปุ่น มีเครื่องยนต์ 2 ขนาดคือ 1.8 ลิตร กับ 2.0 ลิตร Hybrid โดยรุ่น 2.0 ลิตร จะมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ 28.6 กม./ลิตร ดีกว่ารุ่นปัจจุบัน 1.6 เท่า ส่วนรุ่น 1.8 ลิตร จะมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง 32.6 กม./ลิตร
ส่วนรุ่น Plug-in Hybrid ทาง Toyota นิยามว่าเป็นรถยนต์ไฟฟ้าล้วนที่มีเครื่องยนต์สันดาปภายใน โดยรุ่นเครื่องยนต์ 2.0 ลิตร สามารถวิ่ง 0-100 กม./ชม. ได้ภายใน 6 วินาที และวิ่งด้วยไฟฟ้าอย่างเดียวได้ระยะเพิ่มขึ้นอีก 50% เมื่อเทียบกับ Generation ที่ 3 ตอบโจทย์การใช้งานในชีวิตประจำวันได้ดี
สรุป
Toyota Prius คือความสำเร็จสำคัญของ Toyota อย่างไม่ต้องสงสัย เพราะรถยนต์ไฟฟ้า Hybrid รุ่นนี้สมชื่อผู้บุกเบิกตลาดรู้จักกับการใช้งานรถยนต์ไฟฟ้า แต่ก็น่าสนใจว่า Toyota ยังต้องการให้ Prius และ Hybrid ยังคงอยู่ต่อไปก่อน ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะอยู่ได้นานแค่ไหน และจะมีใครทำ Hybrid มาแข่งหรือไม่
อ้างอิง // Toyota, Japan Today
อ่านเพิ่มเติม
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา