ค่ายเกม Garena ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Sea แล้ว หลังจากที่ได้ระดมทุนครั้งใหม่ได้ถึง 550 ล้านเหรียญ เพื่อเตรียมพร้อมแข่งขันตลาดอีคอมเมิร์ซในอินโดนีเซีย เพราะว่ามียักษ์ใหญ่อย่าง Alibaba และคู่แข่งรายอื่นๆ อีกมากในตลาดนี้
ระดมทุนใหม่ รีแบรนด์ พร้อมแข่งในอินโดฯ
Garena ถือเป็นสตาร์ทอัพที่เริ่มต้นมาได้เป็นเวลากว่า 8 ปี ด้วยการสนับสนุนของ Tencent Holdings Ltd. แต่รู้ดีว่าการแข่งขันในตลาดช็อปปิ้งออนไลน์และเกมออนไลน์ในตลาดอีคอมเมิร์ซของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แถบนี้จะสู้กันดุเดือด โดยเฉพาะในอินโดนีเซียที่มีคู่แข่งยักษ์ใหญ่อย่าง Alibaba ซึ่งได้เข้าซื้อ Lazada Group SA เมื่อปีก่อน และยังมี JD.com ที่ประกาศว่าจะลงทุนกับบริษัทอีคอมเมิร์ซมาแรงอย่าง Tokopedia เพื่อลุยตลาดในแถบนี้อย่างเต็มที่
Garena จึงระดมทุมใหม่ โดยรอบนี้นักลงทุนหน้าใหม่ๆ เข้ามาร่วมด้วย ในรายงานบอกว่า มีตั้งแต่นักลงทุนจากตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในภูมิภาคนี้ มี GDP Venture ที่นำโดย Martin Hartono ลูกชายของเศรษฐีเบอร์หนึ่งในอินโดนีเซีย รวมไปถึง JG Summit Holdings Inc. ที่ก่อตั้งโดย John Gokongwei เศรษฐีชาวฟิลิปปินส์
เมื่อระดมทุนได้มาแล้วกว่า 550 ล้านเหรียญ (ประมาณเกือบ 2 หมื่นล้านบาท) บริษัทจึงได้รีแบรนด์/เปลี่ยนชื่อเป็น SEA ซึ่งแน่นอนว่า เป็นคำย่อที่เรารู้จักกันดีของ Southeast Asia หรือเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั่นเอง
Forrest Li ผู้ก่อตั้ง Garena มาตั้งแต่ปี 2009 บอกว่า “ธุรกิจที่ทำมีตั้งแต่เกมออนไลน์ ขายของออนไลน์ผ่านอีคอมเมิร์ซ และการชำระเงินผ่านระบบดิจิทัลอย่าง AirPay” นอกจากนั้นยังบอกอีกว่า ได้มีการคุยกับนักลงทุนรายใหญ่จากสหรัฐอเมริกาว่าจะมีการเข้ามาซื้อหุ้นบริษัทอีกประมาณ 1 พันล้านเหรียญด้วย
หลังการระดมทุนรอบนี้ที่เสร็จเรียบร้อยแล้ว Sea (ชื่อใหม่หลังรีแบรนด์) จะขยายตลาดออนไลน์ออกไปให้ทั่วอินโดนีเซีย เพราะถือเป็นตลาดหลักในการแข่งขัน และหากไปดูมูลค่าสินค้าออนไลน์ของบริษัทจะพบว่า มียอดเพิ่มขึ้นมากกว่า 2 เท่าในรอบ 9 เดือนที่ผ่านมา ถ้าคิดเป็นตัวเลขคือ 3 พันล้านเหรียญ
อย่างไรก็ตาม Sea ปฏิเสธที่จะเปิดเผยถึงมูลค่าการประมูลรอบล่าสุด แต่ได้ตั้งที่ปรึกษาเพิ่ม 3 คนคือ George Yeo อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศสิงคโปร์, Mari Pangestu อดีตกระทรวงการค้าอินโดนีเซีย และ Pandu Sjahrir ผอ. บริษัทถ่านหินในอินโดนีเซีย แน่นอนว่า การเดินหมากเช่นนี้ทำให้เห็นชัดว่า Sea ต้องการลุยตลาดในอินโดนีเซียเต็มกำลัง
ที่มา –Bloomberg
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา