บริการขนส่งมวลชนในยุคนี้ หากใครบริหารไม่ดีก็คงกำไรยาก เพราะมีปัจจัยลบอย่างราคาน้ำมัน และ Startup ใหม่ๆ ที่เข้ามา Disrupt วงการนี้ จนล่าสุด SMRT ผู้ให้บริการแท็กซี่ในสิงคโปร์ก็ทนไม่ไหว และเตรียมขายกิจการแล้ว
Grab เตรียมรับช่วงต่อ
หลังจากให้บริการแท็กซี่มา 27 และมีรถอยู่ในระบบกว่า 3,400 คัน ในที่สุด SMRT หนึ่งในบริษัทขนส่งมวลชนเบอร์ต้นๆ ของสิงคโปร์ และถือหุ้นโดยกลุ่ม Temasek ก็เตรียมขายกิจการดังกล่าวให้กับยักษ์ใหญ่บริการเรียกรถในอาเซียนอย่าง Grab เพื่อไปโฟกัสกับกลุ่มธุรกิจอื่นที่ให้ผลกำไรได้มากว่า
โดยหนึ่งในนั้นคือการไปพัฒนาบริการระบบราง เช่นรถไฟฟ้าสาย MRT และ LRT ให้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้การขายกิจการแท็กซี่ออกไป ก็อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการเคลียร์ธุรกิจอื่นๆ ที่กำไรน้อย เช่นบริการรถประจำทาง เพื่อนำเงินมาหมุนเวียนในธุรกิจอื่น แต่การทยอยขายกิจการออกไปของ SMRT นั้นกระทบกับจิตใจพนักงานแน่นอน
“ตอนนี้ดีลดังกล่าวน่าจะอยู่ในขั้นตอนสุดท้ายแล้ว และเพื่อให้ไม่กระทบต่อพนักงานของ SMRT ทางบริษัทขนส่งมวลชนจึงให้ข้อตกลงกับทาง Grab ว่าต้องให้พนักงานขับแท็กซี่ของ SMRT มีงานต่อไป นอกจากขอสิทธิ์ในการถือหุ้น Grab จำนวนหนึ่ง พร้อมกับได้สิทธิ์นั่งเป็นคณะกรรมการ Grab อย่างน้อยหนึ่งคน” แหล่งข่าวในวงการนี้กล่าว
สำหรับ Grab ปัจจุบันให้บริการอยู่ใน 7 ประเทศของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกอบด้วยอินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, มาเลเซีย, เวียดนาม, ไทย, สิงคโปร์ และเมียนมา มีผู้ขับในระบบกว่า 7.8 แสนคน และเพิ่มขึ้นทุกวัน ดังนั้นการต้องรับช่วงต่อพนักงานขับรถแท็กซี่จาก SMRT อาจไม่จำเป็นนัก
สรุป
หากดีลนี้เกิดขึ้นจริง ก็คงเป็นอีกครั้งที่ Startup สามารถ Disrupt บริการในอุตสาหกรรมที่ตัวเองเล่นอยู่ ผ่านการซื้อกิจการพวกเขาเข้ามาอยู่ใต้ตนเองเลย และเรื่องดังกล่าวก็อาจเกิดขึ้นในประเทศไทยก็ได้ เพราะปัจจุบันการใช้งานบริการเรียกรถผ่าน Application นั้นเติบโตเร็วมา จนคู่แข่งดั้งเดิมอย่างแท็กซี่ก็อยู่ลำบาก
อ้างอิง // SMRT in talks to sell taxi business to Grab
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา