ช่วง 4-5 ปีมานี้การเลี้ยงสุนัข หรือที่เรียกติดปากว่า น้องหมา ได้รับความนิยมมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง จะบอกว่าเป็นกระแสจากชนชั้นสูงไล่ลงมาจนถึงคนทั่วไป ก็ว่าได้ และเริ่มมีน้องหมาสายพันธุ์จากต่างประเทศได้รับความสนใจมากขึ้น หนึ่งในนั้นคือ น้องหมาจากกลุ่มหมาป่าในพื้นที่เขตหนาว ที่ชาวเอสกิโมใช้ในการลากเลื่อน ได้แก่ Alaskan Malamute, Siberian Husky และ Samoyed
ทั้ง 3 พันธุ์ ถ้าจะแบ่งกันแบบที่ดูง่ายที่สุด Alaskan Malamute จะมีขนาดใหญ่แบบชัดเจน ในบ้านเราเริ่มมีเลี้ยงบ้างแต่ไม่แพร่หลายนัก ขณะที่ Siberian Husky จะหน้าตาคล้ายๆ กัน แต่มีขนาดเล็กกว่า และมีเลี้ยงทั่วไปในประเทศไทย และสุดท้ายคือ Samoyed (ซามอยด์) จุดเด่นคือ ได้รับการพัฒนาสายพันธุ์ให้มีขนสีขาวตลอดทั้งตัว (เดิมสีครีม) และเป็นน้องหมาหน้ายิ้ม ซึ่งเป็นพระเอกที่เราจะมาพูดถึงกัน
ซามอยด์ น้องหมาหน้ายิ้ม ราคาหลักแสน
BrandInside ได้มีโอกาสไปนั่งพูดคุยกับ สุพิชญา ฉัตรมาลีรัตน์ เจ้าของ Home Farm ที่เลี้ยงน้องหมาพันธุ์ซามอยด์ เพื่อทำความเข้าใจกับสุนัขพันธุ์นี้ และโอกาสทางธุรกิจในการเพาะพันธุ์ โดยจุดเริ่มต้น Home Farm แห่งนี้เกิดจากการเดินสวนจตุจักรและพบสุนัขที่หน้าตาคล้ายๆ Siberian Husky แต่จุดเด่นคือ ขนมีสีขาวล้วนสีเดียว ไม่มีสีอื่นแม้แต่น้อย
ด้วยความเป็นคนที่รักสุนัขอยู่แล้ว จึงกลับมาค้นคว้าข้อมูล ทำให้รู้ว่าฟาร์มสุนัขที่เพาะเลี้ยงซามอยด์เพื่อจำหน่ายในประเทศไทยจริงๆ มีไม่เกิน 8 แห่ง และมีกลุ่มที่นำเข้าจากต่างประเทศอีกจำนวนหนึ่ง แต่จะมีราคาสูงกว่า โดยสำหรับลูกสุนัข อายุ 60 วันจะมีราคาหลักหมื่นบาทต่อตัว
ทำไมซามอยด์ จึงได้รับความนิยมและมีราคาสูง
เดิมซามอยด์ เคยเข้ามาทำตลาดในไทยแต่ด้วยสีดั้งเดิมเป็นสีครีมจึงไม่ได้รับความสนใจมากนัก แต่พอมีการพัฒนาสายพันธุ์ ให้มีขนสีขาวล้วน จึงเริ่มนิยมขึ้นในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ประกอบกับนิสัยส่วนตัวของซามอยด์ ที่เป็นน้องหมาขี้เล่น ต้องเล่นด้วยตลอด ติดเจ้าของ และจะพูดง่ายๆ คือ เป็นหมาที่ไม่กัดและไม่ทำร้ายใคร แต่มีร่างกายขนาดค่อนข้างใหญ่ ทำให้ดูน่าเกรงขาม จึงมีหลายบ้านที่เลี้ยงไว้สำหรับเพิ่มบารมีให้เจ้าของเช่นกัน
ซามอยด์เพศผู้ที่โตเต็มที่ จะมีขนาดใหญ่หนักได้ถึง 30-40 กิโลกรัม ขณะที่เพศเมียมีขนาดเล็กกว่าน้ำหนักประมาณ 20-25 กิโลกรัมเท่านั้น และดัวยลักษณะภายนอกที่สวยงาม ทำให้ต้องการการดูแลเอาใจจากเจ้าของพอสมควร อาบน้ำเดือนละครั้ง อาบบ่อยไม่ได้ เพราะขนหนามาก และต้องแปรงขน โดยซามอยด์ 1 ตัว มีค่าใช้จ่ายต่อเดือนประมาณ 7,000 – 8,000 บาท จึงไม่น่าแปลกใจที่จะเป็นสุนัขที่มีราคาสูง
การทำธุรกิจเพาะเลี้ยงซามอยด์ในประเทศไทย
อย่างที่บอกไปแล้วฟาร์มที่เพาะเลี้ยงซามอยด์ในไทยมีประมาณ 8 แห่ง ยังไม่เป็นที่กว้างขวางมากนัก แต่ยังมีลักษณะ Home Farm ด้วย เช่นเดียวกับสุพิชญา ที่รักสุนัข และเลี้ยงดูเหมือนเป็นสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัว เรียกว่านอนในห้องนอนด้วยกัน เป้าหมายจริงๆ คือ ไม่ได้เลี้ยงเพื่อขาย ถ้าไม่มีใครซื้อลูกหมาไป ก็พร้อมจะเลี้ยงทุกตัว แต่บอกได้เลยว่า ใครที่มาเจอตัวจริง เจอความน่ารัก สุดท้ายก็ยอมจ่ายเงินอุ้มกลับบ้านในทันที
นอกจากความรัก ความเอาใจใส่อย่างดีเหมือนคนในครอบครัวแล้ว สรุปว่า ถ้าใครคิดจะเลี้ยงซามอยด์ละก็ นอกจากต้องมีเงิน (40,000 สำหรับค่าตัว) และเดือนละ 7,000 – 8,000 สำหรับการเลี้ยงดูแล้ว ต้องมีพื้นที่ประมาณ 70 ตร.ม. สำหรับการวิ่งเล่นออกกำลังกาย เพราะเป็นหมาตัวใหญ่ (จัดอยู่ในขนาดกลาง) การออกกำลังกายจะทำให้มีกล้ามเนื้อที่แข็งแรง
และถ้าคิดอยากจะเพาะพันธุ์เป็นลักษณะ Home Farm ก็ต้องเตรียมเงินสำหรับค่าผสมพันธุ์ โดยเจ้าของตัวเมีย ต้องจ่ายเงินให้เจ้าของตัวผู้ครั้งละประมาณ 10,000 บาท
สุพิชญา สรุปว่า การเลี้ยงแบบ Home Farm กว่าจะขายลูกสุนัขได้กำไรก็ใช้เวลา 2-3 ปีเลยทีเดียว ดังนั้นสุดท้ายใครที่สนใจทำเป็นธุรกิจ ต้องกลับมาคิดให้ดี และเริ่มต้นด้วยความรักสุนัขอย่างแท้จริงก่อน (และต้องมีเงินทุนมากพอสมควรด้วย) เพราะท้ายที่สุดถึงจะขายน้องหมาไม่ได้ ที่บ้านก็พร้อมจะเลี้ยงทุกตัวเหมือนเป็นสมาชิกในครอบครัวต่อไป
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา