กระแสการปิดตัวของธุรกิจค้าปลีกในอเมริกามีมาให้เห็นอย่างต่อเนื่อง แต่ในปีนี้เริ่มชัดเจนขึ้น จากการทยอยปิดตัวกันอย่างเป็นทางการ คาดว่ามีไม่ต่ำกว่า 3,500 สาขาที่จะปิดตัวลงในอีก 2-3 เดือนข้างหน้า ส่วนห้างสรรพสินค้าก็อยู่ไม่ได้เช่นกัน
เตรียมปิดหน้าร้าน ต้องโกออนไลน์เท่านั้นที่อยู่ได้
ร้านค้าปลีกในอเมริกาอย่าง JCPenney, Macy’s, Sears และ Kmart กำลังไล่ปิดสาขาลดลงเรื่อยๆ รวมถึงกลุ่มค้าปลีกในเชนกลุ่มห้างสรรพสินค้าขนาดกลางเช่น Crocs, BCBG, Abercrombie & Fitch และ Guess ก็หนีไม่พ้น ต้องทยอยปิดตัวลงเช่นกัน
การปิดตัวของธุรกิจค้าปลีกตามสาขาต่างๆ ไม่ใช่อะไรอื่นนอกจากเทรนด์ออนไลน์ที่เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด หลายธุรกิจตั้งตัวไม่ทัน แน่นอนว่าเมื่อเจอสภาพแบบนี้ ธุรกิจหลายรายก็มุ่งที่จะบุกการขายบนโลกออนไลน์มากขึ้น
Bloomberg รายงานว่า Bebe ที่เป็นอีกหนึ่งธุรกิจค้าปลีกที่จะปิดสาขาทั้งหมดประมาณ 170 แห่ง หลังจากนี้ก็จะไปเน้นการเพิ่มยอดขายในออนไลน์เป็นหลัก
ห้างสรรพสินค้าจะปรับตัวอย่างไร ในวันที่ค้าปลีกถอย
ดูจากสถิติของ Cushman & Wakefield พบว่า อัตราการมาเดินห้างสรรพสินค้าของผู้คนนับตั้งแต่ปี 2010 ถึง 2013 ลดลงไปกว่า 50% และเนื่องจากการใช้จ่ายของคนสมัยนี้หมดไปกับร้านอาหาร การเดินทาง และเทคโนโลยีใหม่ๆ ไม่ใช่การมาเดินห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้อเสื้อผ้า หรือของประดับต่างๆ อีกต่อไปแล้ว แน่นอนว่า ห้างสรรพสินค้าจะสูญเสียรายได้จากการปิดตัวสาขาของธุรกิจค้าปลีกจำนวนมาก
ดังนั้น สิ่งที่พอจะทำได้คือต้องหาผู้เช่าทดแทนเข้ามาใช้พื้นที่ อย่างเช่นผู้ค้าปลีกรายใหญ่ๆ แต่ก็ดูจะเป็นเรื่องยาก เพราะธุรกิจขนาดใหญ่น่าจะมองเห็นบทเรียนจากการปิดตัวลงของธุรกิจค้าปลีกรายอื่นๆ แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงอีกอย่างคือ มีการประเมินว่า รายได้ของห้างสรรพสินค้าที่มาจากกลุ่มธุรกิจค้าปลีกนั้นไม่ต่ำกว่า 30% การปิดตัวลงของธุรกิจค้าปลีกกันเป็นโดมิโน่ในครั้งนี้ น่าจะสร้างปัญหาครั้งใหญ่ให้กับห้างสรรพสินค้า และอาจร้ายแรงถึงขั้นที่กำหนดความเป็นไปของธุรกิจนี้เลยทีเดียว
ที่มา – Business Insider
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา