ทำไมอาณาจักร Xiaomi ที่มีรายได้หลักล้านล้าน ถึงราคาหุ้นขึ้น 291% ใน 1 ปี

ถ้าเป็นคนไทยคงเรียกว่า “สากกะเบือยันเรือรบ” แต่ถ้าเป็นคนจีนแล้วล่ะก็อาณาจักรเทคโนโลยีที่ทำทุกอย่างอย่าง Xiaomi จะเรียกว่าอะไรได้อีก ถ้าไม่ใช่ “พระเจ้าสร้างโลก ที่เหลือให้ Xiaomi สร้าง” Brand Inside ชวนอ่านเรื่องราวของบริษัทเทคโนโลยีสัญชาติจีนผู้ทำตั้งแต่กรรไกรตัดเล็บไปจนถึงรถ EV แล้วในวันนี้

เริ่มต้นอาณาจักรครอบจักรวาล จาก ‘สมาร์ทโฟน’ ก่อน

ย้อนกลับไปเมื่อปี 2553 Xiaomi ก่อตั้งขึ้นโดย Lei Jun และผู้ร่วมก่อตั้งอีก 6 คน ซึ่งพวกเขาเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นผู้จัดการในบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่อย่าง Google China, Motorola Beijing R&D center และ Kingsoft Dictionary เป็นต้น ที่ภายหลังกลายเป็นรากฐานของบริษัทเทคโนโลยีที่แข็งแกร่งที่สุดแห่งหนึ่งของจีน

Lei Jun ก่อตั้ง Xiaomi ขึ้นมา เพราะตลาดสมาร์ทโฟนในยุค 10 กว่าปีก่อนนั้น มีแต่มือถือที่ถ้าไม่ราคาสูงและมีคุณภาพไปเลย ก็มักจะราคาถูก แต่สเปคไม่แรงพอ Lei Jun จึงมองเห็นช่องว่างของตลาดสมาร์ทโฟนที่ราคาไม่สูง ใครๆ ก็เข้าถึงได้ แต่มีคุณภาพและนวัตกรรมท่ีดี  

ในปี 2554 จึงได้เปิดตัวสมาร์ทโฟน Xiaomi Mi1 ออกสู่ตลาดเป็นครั้งแรก และกวาดยอดจองล่วงหน้ามากกว่า 300,000 เครื่องในเวลาเพียง 34 ชั่วโมงหลังการเปิดตัว

หลังจากนั้นไม่นานในปี 2556 ทาง Xiaomi ก็ได้ขยายไปสู่ตลาดสมาร์ททีวีที่รองรับระบบ Andriod ให้สามารถเชื่อมต่อกับแอพพลิเคชันต่างๆ ได้ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างล้นหลาม

ก่อนพัฒนาอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ ออกมาสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเครื่องฟอกอากาศ สมาร์ทวอทช์ หูฟัง ฯลฯ จนกระทั่งล่าสุดในปีนี้ก็พึ่งเปิดตัวเครื่องปรับอากาศออกมาอีกเป็นที่เรียบร้อย

ด้านสมาร์ทโฟน Xiaomi ก็ได้ขยายตลาดไปทั่วโลกอย่างรวดเร็ว จนในปี 2558 สามารถกินส่วนแบ่งทางการตลาดของสมาร์ทโฟนมากจนติดอันดับ 3 รองจาก Samsung และ Apple ทำให้ถัดจากนั้น 3 ปี Xiaomi ก็สามารถนำบริษัทตนเองเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงได้สำเร็จ ด้วยมูลค่าตลาดราว 5.4 หมื่นล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1.83 ล้านล้านบาท*

ลบภาพจำสินค้าจีน ขยายอาณาจักรต่อถึงรถ EV แล้ว

ด้วยความสามารถของ Lei Jun ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและผู้ร่วมก่อตั้งของ Xiaomi ที่วางรากฐานของบริษัทไว้ด้วยแนวคิด ‘ผูกมิตรกับผู้ใช้ (Users Friendly) และเป็นบริษัทที่ยอดเยี่ยมที่สุดในใจผู้ใช้ในทุกสินค้าที่ผลิต’ จึงทำให้เกิดวลี ‘พระเจ้าสร้างโลก ที่เหลือให้ Xiaomi สร้าง’ 

ไม่เพียงเท่านั้นจากที่เคยมองกันว่า สินค้าจีนมักจะไม่มีคุณภาพ หรือจะใช้สินค้าจีนได้แต่ต้องเป็นสินค้าทั่วไป ห้ามซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าจากจีน Xiaomi เข้ามายังมาลบภาพจำเชิงลบเกี่ยวกับสินค้าจีนในอดีตไปจากใจของผู้บริโภคได้อย่างดี จนกระทั่งในปัจจุบัน Xiaomi ขึ้นเป็นแบรนด์สินค้าไฟฟ้าเบอร์ต้นของโลกด้วย

และตอนนี้ Xiaomi ยังไม่หยุดแค่นั้น เพราะในช่วงปี 2564 บริษัทยังได้ประกาศแผนการทำรถยนต์ไฟฟ้า (EV) พร้อมกับประกาศว่าจะเปิดตัวภายในอีก 3 ปีข้างหน้า 

บริษัทจึงได้ยกระดับวิสัยทัศน์ไปสู่การเป็น ‘Human × Car × Home’ เพื่อเชื่อมต่ออุปกรณ์ไอทีอย่างสมาร์ทโฟน เครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ และรถยนต์ไฟฟ้าเข้าด้วยกันด้วย

และต่างกับหลายๆ แบรนด์ที่ล้มเลิกไป Xiaomi สามารถเปิดตัวรถ EV ได้จริงตามกำหนด 3 รุ่น

ในช่วงปลายปี 2567 ทาง Xiaomi เปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้า SU7 ที่เรียกความสนใจของผู้บริโภคทั่วโลกได้ แม้กระแสรถไฟฟ้าจะชะลอลงก็ตาม จนส่งมอบรถยนต์ไปกว่า 136,584 คันในปี 2567 และตั้งเป้าที่จะส่งมอบ 350,000 คัน ภายในสิ้นปี 2568

นอกจากนั้น บริษัทยังเปิดตัวอย่าง SU7 Ultra เพิ่มเติมจากไลน์ SU7 เดิม และมีแผนจะเปิดตัว Xiaomi YU7 ที่เป็นโมเดล SUV ไฟฟ้า เพื่อขยายตลาดให้ครอบคลุมด้วย

จะเห็นได้ว่ารถยนต์ไฟฟ้าทุกโมเดลของ Xiaomi ที่เปิดตัวออกมา ก็จะมียอดจองอย่างถล่มทลาย ทำให้บริษัทตั้งเป้าที่จะมียอดขายเติบโตราว 155% จากปีก่อน สวนทางตลาดรถยนต์ไฟฟ้าทั่วโลก ที่ในช่วงปลายเดือนธันวาคมปี 2568 เติบโตเพียง 25.6% เมื่อเทียบกับปีก่อน

รายได้หลักล้านล้าน ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมา 291% ใน 1 ปี

จากข้อมูลงบการเงินประจำปีล่าสุด 2567 ของ Xiaomi ทางบริษัทเผยว่า มีรายได้รวมแตะ 1.7 ล้านล้านบาท เติบโตถึง 35% จากปีก่อน และมีกำไรสุทธิแตะ 1.26 แสนล้านบาท เติบโตถึง 41.3% จากปีก่อนเช่นเดียวกัน

โดยไม่ใช่มาจากแค่เพียงธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าของ Xiaomi เท่านั้นที่โตระเบิด แต่ธุรกิจสมาร์ทโฟนก็โตได้อย่างดี โดยส่วนแบ่งทางการตลาดโลกขึ้นไปแตะ 13.8% เป็นอันดับ 3 ของโลก รองจาก Apple และ Samsung ที่ครองส่วนแบ่ง 18.5% และ 18.2% ตามลำดับ 

ขณะที่อุปกรณ์ Gadget กลุ่ม Wearables เช่นสมาร์ทวอทช์และหูฟังก็ขึ้นครองส่วนแบ่งทางการตลาดโลกอันดับ 2 และ 3 ตามลำดับ

ด้านธุรกิจเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภทเครื่องปรับอากาศ รุ่น Mijia Central Airconditioner ที่พึ่งเปิดตัวไปเมื่อกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา (2568) ยอดขายก็แตะ 6.8 ล้านเครื่อง เติบโตกว่า 50% ในขณะที่ตู้เย็นก็มียอดขายถึง 2.7 ล้านเครื่อง เติบโตกว่า 30% เป็นต้น

ด้วยปัจจัยบวกจำนวนมากที่กล่าวมา ประกอบกับลมใต้ปีกจากปัจจัยลบที่กดดันตลาดหุ้นจีนมากว่า 3 ปีที่เบาบางลง ทำให้ราคาหุ้นของ Xiaomi ปรับตัวขึ้นมากว่า 291% ในเวลาเพียง 1 ปี และปรับตัวขึ้นมาราว 500% จากจุดต่ำสุด จนมูลค่าตลาดพุ่งขึ้นแตะ 1.86 แสนล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 6.32 ล้านล้านบาทแล้ว

อ้างอิง Mi Website, Mi Website 2, Xiaomi Annual Results, Britannica, Reuters

*คิดอัตราแลกเปลี่ยน 1 ดอลลาร์ เท่ากับ 34 บาท

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา