ข้อมูลสำคัญทางการเงิน ครึ่งปีแรก ปี 2563
- รายรับรวมอยู่ที่ 103.24 พันล้านหยวน เพิ่มขึ้น 7.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) สูงกว่าประมาณการส่วนใหญ่
- กำไรขั้นต้นอยู่ที่ประมาณ 15.26 พันล้านหยวน เพิ่มขึ้น 22.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
- กำไรสำหรับงวดนี้อยู่ที่ประมาณ 6.65 พันล้านหยวน เพิ่มขึ้น 29.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สูงกว่าประมาณการส่วนใหญ่
- กำไรสุทธิที่ยังไม่ได้ปรับปรุงตาม IFRS อยู่ที่ประมาณ 5.67 พันล้านหยวน ลดลง 0.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สูงกว่าประมาณการส่วนใหญ่
- กำไรต่อหุ้นเท่ากับ 0.279 หยวน
ข้อมูลสำคัญทางการเงิน ไตรมาสที่ 2 ปี 2563
- รายรับรวมอยู่ที่ประมาณ 53.54 พันล้านหยวน เพิ่มขึ้น 3.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 7.7% เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส
- กำไรขั้นต้นอยู่ที่ประมาณ 7.70 พันล้านหยวน เพิ่มขึ้น 6.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 1.9% เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส
- กำไรสำหรับงวดนี้อยู่ที่ประมาณ 4.49 พันล้านหยวนเพิ่มขึ้น 129.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 108% เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส
- กำไรสุทธิที่ยังไม่ได้ปรับปรุงตาม IFRS อยู่ที่ประมาณ 3.37 พันล้านหยวน ลดลง 7.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่เพิ่มขึ้น 46.6% เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส
- กำไรต่อหุ้นเท่ากับ 0.189 หยวน
เสียวหมี่ คอร์ปอเรชัน กล่าวว่า “ในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 แม้ว่าเราจะได้รับผลกระทบจากโควิด-19 และความไม่แน่นอนทั่วโลก แต่ระบบนิเวศทางธุรกิจที่หลากหลายของเสียวหมี่ได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการฟื้นตัว เนื่องจากทั้งรายรับและผลกำไรที่ปรับยอดแล้วของเรายังคงสูงกว่าประมาณการส่วนใหญ่ ในขณะเดียวกันการดำเนินงานของเรายังคงขยายตัว เราติดอันดับ Fortune Global 500 เป็นครั้งที่สอง โดยอยู่ในอันดับที่ 422 ซึ่งสูงขึ้นถึง 46 อันดับจากปีที่แล้ว นอกจากนี้ เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองครบรอบ 10 ปี ในปี 2563 เราจึงได้อัพเกรดกลยุทธ์หลักของเราเป็น “สมาร์ทโฟน X AIoT” โดย AIoT ซึ่งหมุนเวียนอยู่ในธุรกิจสมาร์ทโฟนหลักจะทำให้เราเป็นผู้นำในการใช้ชีวิตอย่างชาญฉลาดในอนาคต สำหรับในทศวรรษหน้า เราจะยังคงยึดมั่นใน “หลักการสามประการ” กล่าวคือ ไม่หยุดที่จะสำรวจและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ นำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีอัตราส่วนราคาต่อประสิทธิภาพที่เหมาะสม และพยายามสร้างผลิตภัณฑ์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดเพื่อให้ทุกคนในโลกมีชีวิตที่ดีขึ้น”
ยึดมั่นใน “หลักการสามประการ” และดำรงสถานะของเสียวหมี่ในตลาดสมาร์ทโฟนระดับพรีเมียม
ท่ามกลางความท้าทายที่เกิดจากการระบาดของโควิด-19 ในตลาดสมาร์ทโฟนทั่วโลก เสียวหมี่ยังคงยึดมั่นในหลักการสามประการคือ “ไม่หยุดที่จะสำรวจและสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ตลอดจนนำเสนอผลิตภัณฑ์ในอัตราส่วนราคาต่อประสิทธิภาพที่เหมาะสมต่อไป” โดยมีรายรับจากเซกเมนต์สมาร์ทโฟนอยู่ที่ 61.952 พันล้านหยวน และ 31.628 พันล้านหยวน ในช่วงครึ่งปีแรกและไตรมาสที่ 2 ของปี 2563 ตามลำดับ และมียอดจัดส่งสมาร์ทโฟนอยู่ที่ 28.3 ล้านหน่วย
จากข้อมูลของ Canalys ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2563 เสียวหมี่อยู่ในอันดับที่ 4 ของโลกในด้านยอดจัดส่งสมาร์ทโฟน โดยมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 10.1% สำหรับตลาดต่างประเทศ การจัดส่งสมาร์ทโฟนระดับพรีเมียมที่มีราคาขายปลีกตั้งแต่ 300 ยูโรขึ้นไปเพิ่มขึ้น 99.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2563 โดยได้รับแรงหนุนจากสัดส่วนยอดขายที่สูงขึ้นจากสมาร์ทโฟนระดับกลางถึงระดับไฮเอนด์ ราคาขายโดยเฉลี่ยสมาร์ทโฟนของกลุ่มบริษัทเสียวหมี่เพิ่มขึ้น 11.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 7.5% เมื่อเทียบไตรมาสต่อไตรมาส
กลุ่มบริษัทเสียวหมี่ ยังคงดำเนินกลยุทธ์ Dual Brand ซึ่งให้ผลลัพธ์ที่ยอดเยี่ยม สมาร์ทโฟนแฟลกชิพรองรับเทคโนโลยี 5G ของเสียวหมี่ รุ่น Mi 10 และ Mi 10 Pro เปิดตัวเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2563 และมียอดจัดส่งเกินหนึ่งล้านเครื่องภายในเวลาเพียงสองเดือน ในเดือนสิงหาคม 2563 เสียวหมี่ได้เปิดตัว Mi 10 Ultra และได้คะแนน DXOMARK ที่ 130 สำหรับประสิทธิภาพของกล้องโดยรวม ซึ่งเป็นอันดับที่ 1 ของโลกอีกครั้งในช่วงเวลาที่เปิดตัว และมียอดขายเกิน 400 ล้านหยวนหลังจากเปิดตัวไปเพียง 10 นาที
สำหรับแบรนด์ เรดมี่ ยังคงทำให้เทคโนโลยี 5G เข้าถึงตลาดมวลชนได้เป็นอย่างดี ในเดือนมิถุนายนปี 2563 กลุ่มบริษัทเสียวหมี่ได้เปิดตัว เรดมี่ 9A ซีรีส์ ซึ่งมีราคาเริ่มต้นเพียง 499 หยวน และต่อมาได้เปิดตัว เรดมี่ K30 Ultra ในเดือนสิงหาคม โดยมีคุณสมบัติระดับพรีเมียมรอบด้าน ในราคาเริ่มต้นเพียง 1,999 หยวน
นอกจากนี้ เสียวหมี่ยังได้เปิดตัวโรงงานอัจฉริยะเมื่อเร็วๆ นี้ด้วยมูลค่าการลงทุนรวม 600 ล้านหยวน ซึ่งเป็นการเปิดยุคแห่งการผลิตเหนือระดับที่โรงงานของเสียวหมี่ โดย Mi 10 Ultra นับเป็นสมาร์ทโฟนรุ่นอัลตร้าไฮเอนด์รุ่นแรกที่ดำเนินการผลิตที่โรงงานอัจฉริยะของเสียวหมี่แห่งนี้
กลยุทธ์หลักของ “สมาร์ทโฟน X AIoT” ที่ได้รับการอัพเกรด เพื่อสร้างชีวิตที่ชาญฉลาด
รายรับจากกลุ่มผลิตภัณฑ์ IoT และไลฟ์สไตล์อยู่ที่ 28.237 พันล้านหยวน และ 15.253 พันล้านหยวนในครึ่งปีแรกและไตรมาสที่ 2 ของปี 2563 ตามลำดับ ยอดจัดส่งโทรทัศน์ทั่วโลกของเสียวหมี่ยังคงอยู่ที่ 2.8 ล้านเครื่อง ซึ่งเติบโตขึ้นเมื่อเทียบปีต่อปี แม้ว่าตลาดโทรทัศน์โดยรวมจะหดตัวลง จากข้อมูลของ All View Cloud (“AVC”) ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2563 ยอดจัดส่งโทรทัศน์ของกลุ่มบริษัทเสียวหมี่ในจีนแผ่นดินใหญ่อยู่ในอันดับที่ 1 เป็นไตรมาสที่ 6 ติดต่อกัน อีกทั้งยังติดอันดับหนึ่งในห้าอันดับแรกของโลกอีกด้วย
ในไตรมาสที่ 2 เสียวหมี่ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์แฟลกชิพสองรุ่นใน Mi TV Master Series ใหม่ ซึ่งเป็นการขยายฐานลูกค้าในตลาดพรีเมียม ในเดือนกรกฎาคม 2563 กลุ่มบริษัทเสียวหมี่ได้เปิดตัวโทรทัศน์ OLED รุ่นแรกคือ “Mi TV Lux 65” OLED” และในเดือนสิงหาคม 2563 ได้เปิดตัวโทรทัศน์ระดับไฮเอนด์พิเศษรุ่นที่สองใน Mi TV Master Series นั่นคือ “Mi TV LUX Transparent Edition” ซึ่งเป็นโทรทัศน์แบบโปร่งใสรุ่นแรกของโลก
เพื่อตอบสนองความต้องการที่หลากหลายของผู้บริโภคทั่วโลก ในช่วงไตรมาสที่ 2 สมาร์ททีวีของเสียวหมี่จึงเข้าสู่ตลาดประเทศต่างๆ มากขึ้น รวมไปถึง โปแลนด์ ฝรั่งเศส และอิตาลี ในเดือนกรกฎาคม 2563 เสียวหมี่ได้จัดงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ระบบนิเวศเสียวหมี่ทั่วโลกเป็นครั้งแรก และได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ หลายซีรีส์ รวมไปถึง Mi Smart Band 5 และ Mi True Wireless Earphones 2 Basic
เมื่อเร็วๆ นี้ มร.เหลย จุน ผู้ก่อตั้ง ประธานกรรมการ และซีอีโอของ เสียวหมี่ ได้เผยแพร่จดหมายถึงพนักงานโดยประกาศว่ากลยุทธ์หลักของเสียวหมี่จะได้รับการอัพเกรดเป็น “สมาร์ทโฟน x AIoT” ในทศวรรษหน้า เพื่อขับเคลื่อนผลประโยชน์ร่วมกันโดยสมาร์ทโฟนจะยังคงเป็นรากฐานที่สำคัญของธุรกิจของกลุ่มบริษัทเสียวหมี่ ในขณะที่ AIoT จะสร้างชีวิตที่ชาญฉลาดควบคู่ไปกับการใช้สมาร์ทโฟนเพื่อให้เสียวหมี่เป็นผู้นำในการใช้ชีวิตอย่างชาญฉลาดในอนาคต
ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2563 จำนวนอุปกรณ์ IoT ที่เชื่อมต่อ (ไม่รวมสมาร์ทโฟนและแล็ปท็อป) บนแพลตฟอร์ม IoT ของเสียวหมี่มีจำนวนถึงประมาณ 271.0 ล้านหน่วย ซึ่งเพิ่มขึ้น 38.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จำนวนผู้ใช้ที่มีอุปกรณ์ห้าเครื่องขึ้นไปเชื่อมต่อกับแพลตฟอร์ม IoT ของเสียวหมี่ (ไม่รวมสมาร์ทโฟนและแล็ปท็อป) เพิ่มขึ้นเป็นกว่า 5.1 ล้านคน ซึ่งเติบโตขึ้น 63.9% เมื่อเทียบปีต่อปี ในขณะเดียวกัน Mi Home App มีจำนวนผู้ใช้งานต่อเดือน 40.8 ล้านคน เพิ่มขึ้น 34.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งในจำนวนนี้เป็นผู้ใช้สมาร์ทโฟนที่ไม่ใช่เสียวหมี่ 67.9% และในเดือนมิถุนายน 2563 ผู้ช่วยเสียวหมี่ AI “小愛同學” มีจำนวนผู้ใช้งานต่อเดือน 78.4 ล้านคน เพิ่มขึ้น 57.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
เสียวหมี่ยังคงเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับการเชื่อมต่อระหว่างกันในผลิตภัณฑ์ต่างๆ ด้วยการริเริ่ม “Xiaomi Share” ซึ่งรองรับการเข้าถึงดนตรี วิดีโอ และโทรศัพท์ ตลอดเวลาการใช้งานที่สลับไปมาระหว่างอุปกรณ์หลายเครื่อง นอกจากนี้ กลุ่มบริษัทเสียวหมี่ยังได้พัฒนาฟังก์ชันการทำงานร่วมกันหลายหน้าจอซึ่งรองรับการถ่ายภาพข้ามอุปกรณ์รวมไปถึงการแก้ไขเอกสาร โดยในอนาคต กลุ่มบริษัทเสียวหมี่จะยังคงปรับปรุงการเชื่อมต่อระหว่างอุปกรณ์อัจฉริยะ และนำเสนอประสบการณ์และสถานการณ์การใช้งานที่ชาญฉลาดยิ่งขึ้นสำหรับผู้ใช้ ซึ่งจะนำพาผู้ใช้เสียวหมี่ทั่วโลกไปสู่แนวหน้าของการใช้ชีวิตที่ชาญฉลาดในอนาคต
บริการอินเทอร์เน็ตที่หลากหลายมีผลต่อรายรับรวมของกลุ่มมากขึ้น
รายรับของเซกเมนต์บริการอินเทอร์เน็ตอยู่ที่ 11.808 พันล้านหยวน และ 5,908 พันล้านหยวน ในช่วงครึ่งปีแรกและไตรมาสที่ 2 ของปี 2563 ตามลำดับ ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2563 จำนวนผู้ใช้ต่อเดือนของ MIUI เพิ่มขึ้น 23.3% เมื่อเทียบปีต่อปี เป็น 343.5 ล้านคน ในขณะที่จำนวนผู้ใช้ต่อเดือนของ MIUI ของจีนแผ่นดินใหญ่อยู่ที่ 109.7 ล้านคน
ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2563 รายรับจากโฆษณาเพิ่มขึ้น 23.2% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 3.1 พันล้านหยวน โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตอย่างรวดเร็วของรายรับโฆษณาในต่างประเทศ รวมถึงงบประมาณด้านโฆษณาในจีนแผ่นดินใหญ่ที่ฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป รายรับจากบริการอินเทอร์เน็ตนอกเหนือจากการโฆษณาและเกมจากสมาร์ทโฟนในจีนแผ่นดินใหญ่ ซึ่งรวมถึงรายรับจากแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซของ Youpin ธุรกิจฟินเทค บริการอินเทอร์เน็ตทีวี และบริการอินเทอร์เน็ตในต่างประเทศ เพิ่มขึ้น 39.5% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งคิดเป็น 39% ของรายรับจากบริการอินเทอร์เน็ตทั้งหมด
ในเดือนมิถุนายน 2563 จำนวนผู้ใช้ต่อเดือนของสมาร์ททีวีเสียวหมี่ และ Mi Box มีจำนวนถึง 32.0 ล้านคน เพิ่มขึ้น 41.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2563 จำนวนผู้ใช้บริการแบบชำระเงินเพิ่มขึ้น 33.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็น 4.0 ล้านราย
ธุรกิจในตลาดต่างประเทศเติบโตอย่างต่อเนื่องแม้ต้องเผชิญกับอุปสรรค รั้งตำแหน่งอันดับ 1 ในบรรดาผู้เล่นหลักในตลาดยุโรปตะวันตก ด้วยอัตราการเติบโตของยอดจัดส่งสมาร์ทโฟน
รายรับจากตลาดต่างประเทศอยู่ที่ 48.861 พันล้านหยวน และ 24.029 พันล้านหยวน ในช่วงครึ่งปีแรกและไตรมาสที่ 2 ของปี 2563 ตามลำดับ จากข้อมูลของ Canalys ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2563 ส่วนแบ่งการตลาดของเสียวหมี่ในด้านยอดจัดส่งสมาร์ทโฟนติดอันดับหนึ่งในห้าใน 50 ประเทศ และในภูมิภาคต่างๆ อีกทั้งยังติดอันดับหนึ่งในสามใน 25 ประเทศในตลาดเหล่านี้อีกด้วย
ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2563 จากข้อมูลของ Canalys ยอดจัดส่งสมาร์ทโฟนของเสียวหมี่ในยุโรปเพิ่มขึ้น 64.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีส่วนแบ่งการตลาดรวม 16.8% ซึ่งติดอันดับหนึ่งในสามเป็นครั้งแรก ในยุโรปตะวันตก การจัดส่งสมาร์ทโฟน ของกลุ่มบริษัทเสียวหมี่เติบโตขึ้น 115.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน คิดเป็นส่วนแบ่งการตลาด 12.4% ยอดจัดส่งสมาร์ทโฟนของกลุ่มบริษัทเสียวหมี่ในสเปนเพิ่มขึ้น 150.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยครองอันดับ 1 ติดต่อกัน 2 ไตรมาส ด้วยส่วนแบ่งตลาด 36.8% ในช่วงไตรมาสที่ 2 นี้ เสียวหมี่ยังครองอันดับ 2 ในฝรั่งเศส และอันดับ 4 ในเยอรมนีและอิตาลี ในด้านยอดจัดส่งสมาร์ทโฟน
ในยุโรปตะวันออก เสียวหมี่เป็นบริษัทสมาร์ทโฟนอันดับ 1 ในยูเครน และโปแลนด์ ในด้านยอดจัดส่งสมาร์ทโฟน โดยมีส่วนแบ่งการตลาด 37.1% และ 27.5% นอกจากนี้ ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2563 กลุ่มบริษัทเสียวหมี่มีส่วนแบ่งการตลาด 30.7% ด้วยยอดจัดส่งในตลาดสมาร์ทโฟนของอินเดีย จากข้อมูลของ IDC เสียวหมี่ยังคงครองตำแหน่งที่ 1 ในตลาดสมาร์ทโฟน ของอินเดียเป็นไตรมาสที่ 12 ติดต่อกัน
ผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19
ในไตรมาสที่ 2 ของปี 2563 การระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานทั่วโลกของเสียวหมี่ในระดับที่แตกต่างกันออกไป ในเดือนเมษายนและพฤษภาคม 2563 ตลาดหลักหลายแห่งของกลุ่มบริษัทเสียวหมี่มีการใช้มาตรการล็อกดาวน์ที่เข้มงวด ซึ่งส่งผลกระทบกับยอดขายเป็นอย่างมาก ต่อมาเมื่อข้อจำกัดทางธุรกิจค่อยๆ ลดลง ยอดขายจึงฟื้นตัวขึ้นอย่างเป็นรูปธรรม
ในอินเดีย มีการบังคับใช้มาตรการล็อกดาวน์อย่างเข้มงวด ตั้งแต่ปลายเดือนมีนาคม ยอดขายของเราได้รับผลกระทบเป็นอย่างมากในช่วงล็อกดาวน์ ในขณะที่อินเดียค่อยๆ ยกเลิกข้อจำกัดเหล่านี้ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปี 2563 ความต้องการของผู้บริโภคก็เริ่มฟื้นตัวขึ้น ในเดือนกรกฎาคม 2563 จำนวนการเปิดใช้งานสมาร์ทโฟนโดยเฉลี่ยต่อวันในอินเดียกลับสู่ระดับ 72% ของระดับก่อนการระบาดซึ่งมีการบันทึกไว้ในเดือนมกราคม โดยในเดือนกรกฎาคม 2563 หากไม่นับรวมอินเดีย จำนวนการเปิดใช้งานสมาร์ทโฟนในต่างประเทศโดยเฉลี่ยต่อวันจะสูงถึง 120% ของระดับก่อนการระบาดซึ่งมีการบันทึกไว้ในเดือนมกราคม
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา