เปิดวิสัยทัศน์ “ธาคิน จิตจานุรัก” แม่ทัพแห่ง Woxa Group กับภารกิจ “Reverse Model” พลิกโฉม FinTech โลก ด้วยการทำให้เทคโนโลยี “ถูกลง” เมื่อ “สเกลใหญ่ขึ้น”

ในโลกธุรกิจยุคใหม่ คำว่า “Growth” มักถูกผูกติดกับตัวเลขกำไรและส่วนแบ่งการตลาด แต่สำหรับ Woxa Group ภายใต้การนำของ คุณธาคิน จิตจานุรัก (Takin Jitjanuruk) Group CEO of Woxa Group Holding Ltd. และ Co-Founder of Woxa Corporation Limited. นิยามของการเติบโตกลับแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง

ไม่ใช่การขยายอาณาจักรเพื่อกอบโกย แต่คือการสร้าง “Infrastructure” หรือโครงสร้างพื้นฐานทางเทคโนโลยีการเงิน (FinTech) ที่แข็งแกร่งที่สุด เพื่อพิสูจน์สมการใหม่ที่ท้าทายความเชื่อเดิมของโลกทุนนิยม นั่นคือ “Democratizing Technology Cost” หรือการทำให้ต้นทุนเทคโนโลยีระดับโลก “จับต้องได้” สำหรับทุกคน

บทความนี้จะพาไปสำรวจเบื้องลึกของวิสัยทัศน์ วิธีคิดที่กลั่นกรองจากความล้มเหลว และยุทธศาสตร์ 10 ด้านที่จะพา Woxa Group ทะยานสู่การเป็นผู้เล่นระดับ Global Scale อย่างเต็มตัว

เมื่อความล้มเหลวคือ “Data” ไม่ใช่จุดจบ

ย้อนกลับไปเมื่อคุณธาคินเริ่มเข้าสู่สมรภูมิ FinTech ครั้งแรกด้วยวัยเพียง 21 ปี เขาเลือกที่จะกระโจนเข้าสู่การแข่งขันระดับโลกทันที โดยต้องเผชิญหน้ากับยักษ์ใหญ่จากจีนและอินเดีย การตัดสินใจครั้งนั้นจบลงด้วยความ “ล้มเหลว” และการสูญเสียเม็ดเงินมหาศาลจากการพยายามสร้างแพลตฟอร์มรวมนักลงทุนโดยที่ยังขาดความเข้าใจตลาดที่ลึกซึ้งพอ

แต่แทนที่จะยอมแพ้ คุณธาคินกลับมองว่านี่คือบทเรียนราคาแพงที่คุ้มค่าที่สุด มันสอนให้เขาเข้าใจสัจธรรมข้อสำคัญของการทำธุรกิจ “แบรนด์ที่แข็งแกร่ง ไม่ได้เกิดจาก Product ที่เรา ‘อยากทำ’ แต่เกิดจากการแก้ปัญหาที่ลูกค้า ‘เจ็บปวด’ จริง ๆ”

แนวคิดนี้เปลี่ยนจุดยืนของเขาจาก Product Builder ผู้มุ่งสร้างแต่สินค้า มาเป็น Problem Solver ผู้หลงใหลในการแก้ปัญหา ซึ่งกลายเป็นรากฐานสำคัญในการบริหารงานแบบ Agile ในปัจจุบัน ที่มองว่าความผิดพลาดคือ “ข้อมูล” (Data) สำหรับการเรียนรู้ เพื่อให้ล้มเร็ว ลุกไว และปรับตัว (Pivot) ได้ทันท่วงที

ยิ่งสเกลใหญ่ ต้นทุนต้องยิ่งต่ำ

หัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อน Woxa Group ในวันนี้ คือปรัชญาที่เรียกว่า “Reverse Model”

ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีทั่วไป เมื่อมีผู้ใช้งานมากขึ้น ผู้ให้บริการมักจะมีต้นทุนการบริหารจัดการที่สูงขึ้น หรือฉวยโอกาสขึ้นราคาจาก Demand ที่เพิ่มขึ้น แต่คุณธาคินกลับมองต่างมุม เขาเชื่อในพลังของ Economies of Scale ในรูปแบบที่ว่า “ยิ่งมีผู้ใช้งานมาก ต้นทุนต่อหน่วยจะต้องยิ่งลดลงเรื่อย ๆ”

นี่คือที่มาของพันธกิจ Democratizing Technology Cost หรือการปรับสมดุลต้นทุนเทคโนโลยี เป้าหมายสูงสุดของ Woxa Group ไม่ใช่แค่การทำกำไร แต่คือการ Empower หรือติดอาวุธให้ผู้ประกอบการรายย่อย (SMEs) สามารถเข้าถึงเครื่องมือ FinTech ระดับโลกได้ในราคาที่สมเหตุสมผล เพื่อให้พวกเขาสามารถแข่งขันกับบริษัทขนาดใหญ่ได้อย่างเท่าเทียม

ไม่เน้นกว้าง แต่เน้น “ลึก” และ “เบ็ดเสร็จ”

เพื่อให้สามารถควบคุม “ต้นทุน” และ “คุณภาพ” ได้ตามปรัชญา Reverse Model กลยุทธ์ของ Woxa Group จึงไม่ใช่การขยายธุรกิจไปในแนวนอน (Horizontal Expansion) แบบสะเปะสะปะ แต่เลือกที่จะทำ Deep Vertical Specialization หรือการเจาะลึกในแนวดิ่ง

เขาอธิบายว่า Woxa Group เลือกที่จะสร้าง “Tech Ecosystem” ของตัวเองขึ้นมาใหม่ทั้งหมดแบบ End-to-End ตั้งแต่ระดับภาษาโปรแกรม (เช่น C++, Go) ไปจนถึงโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อให้สามารถควบคุม Value Chain ได้อย่างเบ็ดเสร็จ (Vertical Integration)

และนี่คือ 10 ยุทธศาสตร์หลัก (10 Key Pillars) ที่ Woxa Group กำลังทุ่มทรัพยากรเพื่อสร้างความลึกในมิติต่างๆ ของโลก FinTech

  1. Engineering The Future of Trading: การลงทุนในการเขียนโค้ดระดับ Sub-surface development เพื่อให้ได้ระบบการซื้อขายที่ประมวลผลได้เร็วที่สุด รองรับธุรกรรมระดับโลกได้จริง
  2. Intelligent Reward Systems: สร้างระบบ Incentive อัจฉริยะ เพื่อกระตุ้น Engagement และสร้างพฤติกรรมทางการเงินที่ดีให้กับผู้ใช้ในระยะยาว
  3. Financial Tech for Trust: ยกระดับความปลอดภัยขั้นสูงสุด (State-of-the-Art Security) เพื่อสร้างความเชื่อมั่น ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการเป็น Infrastructure ทางการเงิน
  4. Defence Tech Future Security: เตรียมพร้อมรับมือภัยคุกคามไซเบอร์ในอนาคต ด้วยเทคโนโลยีป้องกันระดับองค์กร เพื่อปกป้องสินทรัพย์ของลูกค้า
  5. Quantitative Edge in Algorithmic Trading: พัฒนาขีดความสามารถด้าน Quantitative Finance และ Algo Trading เพื่อเป็น “อาวุธทางปัญญา” ให้กับนักลงทุน
  6. Ultimate Economic MMORPG: ฉีกกรอบการเรียนรู้ด้วยการใช้ Gamification และ Simulation สร้างโลกจำลองทางเศรษฐกิจ เพื่อให้ผู้ใช้ได้เรียนรู้ผ่านประสบการณ์จริง
  7. Superior Trading Platform: ผลลัพธ์จากการผนวกวิศวกรรมและการเงินเข้าด้วยกัน คือแพลตฟอร์มเทรดที่ เร็ว ต้นทุนต่ำ และฟีเจอร์เหนือกว่าคู่แข่ง
  8. Expert Digital Marketing Agency: สร้างทีมการตลาด In-house ที่เชี่ยวชาญเฉพาะทาง เพื่อสื่อสารแบรนด์อย่างมีประสิทธิภาพและลดต้นทุนการตลาดในระยะยาว
  9. Digital Cloud Service: สร้าง Proprietary Cloud Infrastructure ของตัวเอง เพื่อไม่ให้ต้องพึ่งพา Third-party ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการควบคุมต้นทุนตามโมเดล Reverse Model

Artificial Intelligence Automation: นำ AI ขั้นสูงมาใช้ในทุกกระบวนการเพื่อลด Operating Cost และขับเคลื่อน Hyper-Personalization ตอบโจทย์ลูกค้าแบบรายบุคคล

5 ปีข้างหน้ากับเทรนด์ Hyper-Personalization

เมื่อมองไปข้างหน้า คุณธาคินชี้ว่าเทรนด์ที่จะเข้ามาเปลี่ยนโฉมอุตสาหกรรมในอีก 5 ปีข้างหน้าคือ Hyper-Personalization และ Vertical Integration

การเตรียมพร้อมของ Woxa Group คือการกลับไปที่หลักคิด First Principle คือการตั้งคำถามถึงแก่นความต้องการของลูกค้า และใช้เทคโนโลยีที่สร้างขึ้นเอง (In-house Tech Chain) ในการตอบโจทย์นั้น การเป็นเจ้าของเทคโนโลยีตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ จะทำให้ Woxa Group สามารถส่งมอบโซลูชันที่ “คมที่สุด” ในราคาที่ “ถูกที่สุด” ได้อย่างแท้จริง

Brand Inside มองว่า สำหรับ WOXA Group ความสำเร็จไม่ได้วัดกันที่ตัวเลขในบัญชีเพียงอย่างเดียว แต่คือ Legacy หรือมรดกทางความคิดที่จะทิ้งไว้ให้กับอุตสาหกรรม การพิสูจน์ว่าโมเดลธุรกิจที่แฟร์กับผู้ใช้งาน ที่ยิ่งโต ยิ่งถูก ยิ่งเข้าถึงง่าย นั้นเป็นไปได้จริง และยั่งยืน

ภายใต้วิสัยทัศน์ของคุณธาคิน จิตจานุรัก Woxa Group กำลังก้าวข้ามจากการเป็นเพียงผู้เล่นในตลาด สู่การเป็นผู้สร้างมาตรฐานใหม่ ที่จะทำให้โลกการเงินและการลงทุนไม่ใช่เรื่องไกลตัวหรือมีต้นทุนสูงอีกต่อไป แต่เป็นโครงสร้างพื้นฐานที่ทุกคนเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา

mm
Branded Content เป็นบทความที่ได้รับการสนับสนุนจากสปอนเซอร์