ในฐานะที่ Brand Inside ทำ Work From Home มาตั้งแต่วันแรกของการทำงาน
นับจนถึงวันนี้ก็กว่า 3 ปีแล้ว!
บทความนี้จะแชร์ประสบการณ์ 5 บทเรียนของการทำงานจากบ้าน มีทั้งสิ่งที่ควรทำ ต้องทำ และอย่าทำเป็นอันขาด
1. Work From Home ? ไม่ใช่ Work From Bed ?
ประการแรก การทำงานจากที่บ้านทำให้เราลดเวลากิจวัตรประจำวันได้หลายอย่าง ตั้งแต่การอาบน้ำ แต่งตัว ไปจนถึงการเดินทางไปออฟฟิศ
แน่นอนว่า เราสามารถนอนตื่นสายกว่าเดิมได้
แต่บทเรียนข้อแรกของการทำงานจากที่บ้าน ไม่ใช่การทำงานจากเตียงนอน เพราะถึงที่สุดจะทำอะไรไม่เสร็จสักอย่าง ที่หนักคือ นานวันเข้าจะรู้สึกว่าชีวิตย่ำอยู่กับที่ ไม่มีอะไรใหม่
ทางแก้ไขคือ สร้างตารางเวลาขึ้นมาให้ชัดเจน ถ้าเป็นไปได้ควรตื่นนอนเวลาเดิมให้เป็นปกติ ให้ดีที่สุดคือ อาบน้ำ แต่งตัว(ไม่จำเป็นต้องทางการ)และนั่งทำงานที่บ้านเสมือนเข้าออฟฟิศไปทำงานปกติ
2. อุปสรรคของ Work From Home ไม่ใช่การสื่อสาร
หลายคนมักจะคิดว่าที่บริษัทส่วนใหญ่ไม่ให้ทำงานจากที่บ้าน เป็นเพราะอุปสรรคคือ “การสื่อสาร”
สำหรับ Brand Inside ที่ทดลองทำ Work From Home มาตั้งแต่ปี 2017 พบว่า ยิ่งไม่ได้เจอหน้าเพื่อนร่วมงาน การสื่อสารระหว่างทีมยิ่งต้องดีและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ใช่น้อยลงแต่อย่างใด เพราะหากคุณเข้าออฟฟิศได้ การสื่อสารผ่านช่องทางอื่นๆ ที่ไม่ใช่การเจอหน้ากันตัวเป็นๆ ก็จะทำแบบขอไปที เพราะพรุ่งนี้ก็เจอที่ออฟฟิศอยู่ดี เพียงแต่ว่าการทำงานจากที่บ้านทำสิ่งนั้นไม่ได้
ดังนั้น สรุปได้ว่าจากประสบการณ์ตรงแล้ว Work From Home ทำให้ทีมงานประสานงานและสื่อสารกันได้ดีมากยิ่งขึ้น
ที่น่าสนใจเป็นพิเศษอีกอย่างคือ ถ้าโรคระบาด COVID-19 รอบนี้จะมีข้อดีอะไรสักอย่าง มันกำลังบอกเหล่าคนทำงานอย่างชัดเจนว่า หลายๆ การประชุมก็ไม่จำเป็นต้องมาเจอหน้ากันตัวเป็นๆ ขนาดนั้นก็ได้ คุยกับผ่านออนไลน์ก็ได้ประสิทธิภาพที่ไม่ต่างกันนัก
3. Work From Home ได้ Productivity แต่ไม่(ค่อย)ได้ Creativity
จริงที่สุด เพราะผลงานไม่ว่าจะในแง่ปริมาณหรือคุณภาพ หลายครั้งเกิดขึ้นจากที่บ้าน ไม่ใช่ที่ออฟฟิศ
เชื่อว่าคนทำงานออฟฟิศทั่วไปคงเข้าใจเรื่องนี้ดี เพราะการเข้าออฟฟิศ เจอผู้คน ทำให้เสียสมาธิในการทำงานได้ง่าย ดังนั้น สำหรับทีมเรา เมื่อบริษัทอนุญาตให้ Work From Home การเข้าออฟฟิศจึงไม่ใช่การไปผลิตผลงานเป็นหลัก (แต่ก็ยังผลิตผลงานอยู่) แต่ที่สำคัญคือ ออฟฟิศกลายเป็นพื้นที่ของการแลกเปลี่ยนไอเดียระหว่างกันและกัน โยนความเห็น ระดมสมอง หาความคิดสร้างสรรค์เสียมากกว่า ส่วนที่บ้านกลายเป็นพื้นที่หลักในการผลิตผลงาน เอาความคิดสร้างสรรค์จากการแลกเปลี่ยน ถกเถียง มาทำให้เป็นรูปธรรม
ในแง่นี้ มันทำให้เห็นว่า Work From Home ไม่ใช่สูตรสำเร็จ เพราะมันมีข้อจำกัดเช่นเดียวกัน
ใครอยากอ่านประสบการณ์การทำนองนี้จากต่างประเทศในหัวข้อเดียวกัน สามารถอ่านได้ที่ Sorry, but Working From Home Is Overrated
4. หางานอดิเรกทำ ถ้ายิ่งเพิ่มทักษะได้ ยิ่งดี
ข้อดีที่สุดของการ Work From Home คือการได้ “เวลา” ที่เพิ่มมากขึ้น อย่างน้อยที่สุดคือไม่ต้องเดินทาง ทำให้มีเวลาเหลืออีกมากในแต่ละวัน
ประเด็นสำคัญคือ เราจะจัดการกับเวลาที่ได้มาแบบเป็น “โบนัส” นี้อย่างไรดี
ข้อเสนอคือ ต้องเริ่มจากแบ่งเวลาการทำงานและการใช้ชีวิตให้ได้ โดยต้องเริ่มจากการจัดการตารางเวลาในแต่ละวันให้ได้ ตื่นนอนเวลาไหน ต้องทำงานอะไรบ้างในวันนี้ และที่สำคัญจะทำแค่ไหน
จากนั้นเมื่อมีเวลาเหลือให้มองหางานอดิเรกทำ เช่น ทำอาหาร อ่านหนังสือ ออกกำลังกาย เรียนคอร์สออนไลน์ ฯลฯ
5. ปิดคอมซะบ้าง!
แค่นั้นเลย “ปิดคอมซะบ้าง” ห่างออกจากคอมพิวเตอร์ หากิจกรรมอื่นๆ ในข้อ 4 ทำเพื่อเพิ่มทักษะใหม่ๆ
อย่าลืมว่า Work From Home is a privilege!
ถ้าวันนี้คุณคือพนักงานของบริษัทที่บอกให้สามารถทำงานจากที่บ้าน โปรดรู้ไว้ว่านี่คือสิทธิพิเศษ
เพราะไม่ใช่ว่างานทุกงานในสังคมจะสามารถทำจากที่บ้านได้ มีอีกหลายงาน-หลายคนที่ต้องเดินทางออกจากบ้านไปทำงานในยุคแห่งโรคระบาด
นี่คือข้อได้เปรียบ
ดังนั้น จงใช้เวลาที่ได้เพิ่มมากขึ้นจากการ Work From Home อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งแน่นอนว่า “อิสรภาพ” ย่อมมาพร้อมกับ “ความรับผิดชอบ” และสองสิ่งนี้จะไปด้วยกันได้ดีต้องใช้ “วินัย วินัย และวินัย”
ที่มากไปกว่านั้น เมื่อคุณใช้ช่วงเวลานี้เพื่ออัพเกรดตัวเองในยุคแห่งโรคระบาดนี้แล้ว ขั้นตอนต่อไปอาจเป็นการคืนกลับสู่สังคม คุณอาจช่วยเหลือธุรกิจร้านอาหารเล็กๆ แถวบ้านให้เขายังมีรายได้ต่อไป หรืออาจช่วยเหลือผู้สูงอายุในละแวกบ้านในกรณีที่พวกเขาไม่สะดวกที่จะเดินทางออกไปซื้อหาอาหารนอกบ้าน
อย่าปล่อยให้เวลาที่ได้มาเสียเปล่า … แล้วเราจะผ่านช่วงเวลาเหล่านี้ไปด้วยกัน
ชม Brand Inside TALK ที่แชร์ประสบการณ์ตรง Work From Home
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา