ในช่วงต้นเดือนมีนาคม (4 มีนาคม) ที่ผ่านมานี้ ดัชนีหุ้นไทย หรือ SET ปรับตัวลงไปแตะจุดต่ำสุดที่ 1,175 จุด -14.79% นับตั้งแต่ต้นปี (YTD) ซึ่งนับว่าเป็นจุดต่ำสุดในรอบ 5 ปี ตั้งแต่เหตุกาณ์ช่วงโควิด 19 ระบาด
และยังเป็นระดับราคาเดียวกับในช่วง 14 ปีก่อน (ปี 2011) ที่หากนำเงินมาลงทุนในดัชนีหุ้นไทยตั้งแต่ช่วง 14 ปีก่อน เงินของนักลงทุนไม่ได้เพียงไม่เติบโตอย่างเดียว หากแต่ยังแพ้เงินเฟ้ออีกเช่นกัน
แล้วอะไรทำให้ตลาดหุ้นไทยมาถึงจุดนี้ Brand Inside ได้สรุปสิ่งที่เกิดขึ้นมาให้แล้วดังนี้
เศรษฐกิจเติบโตน้อย กำไรแทบไม่ขยับ
ก่อนอื่นเลยคงต้องมาดูก่อนว่า เกิดอะไรขึ้นกับดัชนีหุ้นไทย (SET) สาเหตุอะไรที่ทำให้ราคาไม่ไปไหน ซึ่งหากกลับมาดูหลักการพื้นฐานเกี่ยวกับผลตอบแทนของสินทรัพย์ที่สร้างกระแสเงินสด (Producing Asset) ก็จะขึ้นอยู่กับ…
- กำไรของสินทรัพย์
- แนวโน้มการเติบโตในอนาคต
- ความเสี่ยงของสินทรัพย์
ซึ่งหากย้อนกลับไปดูในช่วงปี 2015 นั้น EPS (กำไรต่อหุ้น) ของตลาดหุ้นไทย (SET) จะอยู่ที่ราว 103 บาทต่อหุ้น ในขณะที่ปี 2025 นี้นั้น EPS ของตลาดหุ้นไทย บริษัทหลักทรัพย์คาดการณ์กันว่าจะอยู่ที่ราว 95 – 100 บาทต่อหุ้น หรือไม่ได้เติบโตเลยในระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา
ในขณะที่ GDP ของประเทศไทยในช่วงปี 2015 อยู่ที่ราว 13.6 ล้านล้านบาท เติบโตมาจนปี 2024 แตะ 17.7 ล้านล้านบาท เติบโตมาราว 30% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา หรือเติบโตเฉลี่ยประมาณ (CAGR) 2.66% เท่านั้นเอง ตัวเลขนี้น้อยว่าประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ‘เวียดนาม’ ที่มีแนวโน้มการเติบโตเฉลี่ย (CAGR) 7-10% ต่อปี
ร่วมกับความเสี่ยงเฉพาะประเทศของไทยทั้งจากเรื่อง ‘การเมือง’ ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง เช่น ปัญหาการจัดตั้งรัฐบาลในช่วงหลังการเลือกตั้ง การพึ่งมีการจัดตั้งรัฐบาลได้สำเร็จไม่ถึง 2 ปี ปัญหาการผูกขาด และนโยบายเน้นประชานิยม รวมถึงปัญหาโครงสร้างประชากรที่กำลังจะเปลี่ยนไปเป็น ‘สังคมผู้สูงอายุ’ ทำให้การสร้างรายได้และการใช้จ่ายในประเทศที่มีแนวโน้มจะลดลง
ทำให้เหล่านักลงทุนจำนวนมากเทขายหุ้นไทย ไปยังหุ้นของประเทศอื่นที่มีแนวโน้มการเติบโตสูงกว่า หรือแม้แต่ย้ายไม่ยังสินทรัพย์อื่นๆ ที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าอย่างเช่น คริปโทฯ เป็นต้น
หลุด 1200 ครั้งล่าสุด คือตอนเกิดโควิด-19
หากย้อนกลับไปในประวัติของตลาดหุ้นไทย มีนาคมและพฤศจิกายนปี 2020 ที่เกิดการแพร่ระบาดโควิด-19 จะเป็นครั้งล่าสุดที่ตลาดหุ้นไทยลงไปหลุด 1,200 จุด
ถือว่าไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เพราะในช่วงเวลานั้นเป็นเหตุการณ์พิเศษที่นักลงทุนส่วนมากประเมินผลกระทบของบริษัทได้ไม่ชัดเจนเท่าไรนัก ทำให้อาจมีแรงขายที่เป็นความกลัวและการลดความเสี่ยงชั่วคราว
หลังจากนั้นพอมีข่าวว่า วัคซีนโควิด-19 กำลังมาก็ทำให้มุมมองต่อตลาดดีขึ้น แล้วเกิดแรงซื้อกลับคืนอย่างรวดเร็ว พร้อมกับความหวังของนักลงทุนว่าในอีก 6 เดือนต่อจาก ขณะนั้นเศรษฐกิจจะฟื้นตัวดีขึ้น
แต่การปรับตัวลงมาแตะ 1,200 จุดในรอบนี้อาจต่างไป
นักลงทุนเสียงแตก บางคนบอกน่าซื้อ บางคนบอกพอเถอะ
แต่มุมมองการลงทุนต่อตลาดหุ้นไทยในตอนนี้ค่อนข้างเสียงแตก
นักวิเคราะห์จากบางหลักทรัพย์หรือเหล่าเซียนหุ้นบางราย มองว่า ตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวลงมาในระดับราคาที่น่าซื้ออาจเป็นโอกาสทยอยเข้าสะสม
หากอ้างอิง EPS ของตลาดหุ้นไทย ณ สิ้นปี 2568 ที่ 95-100 บาท ณ ระดับ SET ที่ 1,200 จุด ก็จะคิดเป็น PE ที่ราว 12-13 เท่า ซึ่งอยู่ในโซน -1.5 SD ถึง -2 SD (Standard Deviation) ที่มีค่อนข้างน้อยในการเกิดซื้อขายที่ระดับราคานี้
เนื่องจาก SD หรือ ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน บ่งบอกถึง ความเป็นไปได้ในการเกิดเหตุการณ์ว่า มากหรือน้อยจากค่าเฉลี่ยแค่ไหน ซึ่งการที่ดัชนีหุ้นลงมาซื้อขายที่ระดับ -1.5 SD ถึง – 2 SD บ่งบอกว่ามีโอกาสเกิดเหตุการณ์นี้เพียง 2% ถึงราว 7% เท่านั้นเอง
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ และ เหล่าเซียนหุ้นก็จะชี้ว่า แม้ที่ระดับราคาหุ้นไทยที่เข้าโซนค่อนข้างถูก แต่การเข้าลงทุนอาจไม่สามารถใช้วิธีเหมือน 10-20 ปีก่อนที่ซื้อกระจาย แล้วโอกาสทำผลตอบแทนได้สูง
หากแต่ต้องซื้อแบบเลือกลงทุน (Selective Buy) ว่าหุ้นหรือบริษัทไหนมีโอกาสยังเติบโต หรือรักษาส่วนแบ่งทางการตลาดได้ในสภาพเศรษฐกิจที่โตต่ำของไทย หรือ หาบริษัทไหนสามารถหาโอกาสการเติบโตต่างประเทศเพื่อขยายตลาดได้ก็จะเป็นการลงทุนที่น่าสนใจที่สุด
แต่หากฟังนักวิเคราะห์ หรือเหล่าเซียนหุ้นบางกลุ่มก็จะมองว่า ระดับราคาของตลาดหุ้นไทยแม้จะอยู่ในระดับที่ไม่แพงแล้ว แต่การลงทุนก็เหมือนการตกปลา ที่การไปตกในแหล่งที่มีปลาชุกชุม (บริษัทที่ขยายลูกค้าไปทั่วโลก) อาจเป็นเรื่องที่ง่ายกว่า การตกปลาที่น้ำตื้นแต่มีปลาน้อย (บริษัทที่โอกาสการเติบโตจำกัด)
ผู้เชี่ยวชาญกลุ่มนี้ก็จะแนะนำว่า ให้ศึกษาหุ้นต่างประเทศและย้ายไปลงทุนในตลาดหุ้นของประเทศที่มีขนาดตลาดใหญ่กว่า และสามารถลงทุนได้ยาวนานกว่าไม่ต้องซื้อขายบ่อย
โดยอาจแลกมากับการรับความเสี่ยงของราคาหุ้นที่สูงกว่า แต่ก็คุ้มค่ากับการศึกษามากกว่า นอกจากนี้ในยุคปัจจุบันที่การลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศ เช่น สหรัฐฯ ฮ่องกง จีน หรือ ญี่ปุ่น เป็นต้น ยังเข้าถึงได้ง่ายกว่าแต่ก่อน และมีค่าธรรมเนียมที่ต่ำลงมากด้วย
การเมืองไทยผันผวน กฎระเบียบไม่แน่นอน ธรรมาภิบาลมีปัญหา
ก่อนหน้านี้ ดร.พิพัฒน์ เหลืองนฤมิตชัย กรรมการผู้จัดการ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ กลุ่มธุรกิจการเงินเกียรตินาคินภัทร (KKP) เขียนบทความเรื่อง ‘เสน่ห์ของตลาดทุนไทยหายไปไหน’ ใน Facebook ส่วนตัวเช่นเดียวกัน โดยระบุว่า มาจาก 4 ปัจจัย ดังนี้
- ปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยเฉพาะความสามารถในการแข่งขัน
- การเมืองไทย มีความเสี่ยงสูง วิเคราะห์และคาดเดาได้ยาก
- ความไม่แน่นอนด้านกฎระเบียบ
- ปัญหา corporate governance ที่มากขึ้นและรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ
โดยระบุว่า 4 เหตุผลนี้เป็นเหตุนักลงทุนขาดความมั่นใจในตลาดหุ้นไทย แม้ว่าจะมีบริษัทในตลาดหุ้นไทยหลายๆ ตัวยังมีโอกาสและศักยภาพที่น่าสนใจในหลายๆ มิติ
เพราะถ้าดู EPS หรือกำไรต่อหุ้นเฉลี่ยของตลาดหุ้นไทย จะเห็นว่าแทบไม่เปลี่ยนแปลงเลยในรอบสิบปีที่ผ่านมา ในขณะที่กำไรในตลาดหุ้นอื่นๆ เติบโตได้ สะท้อนให้เห็นว่า ผลตอบแทนของระดมทุนใหม่ ไม่ได้ถูกนำไปใช้ในการสร้างผลตอบแทนที่คุ้มค่า
ครั้งนั้น ดร.พิพัฒน์ ทิ้งท้ายว่า “ถ้าเราไม่ช่วยกันแก้ไขปัญหาเหล่านี้ มัวแต่แก้ปัญหาแบบไม่ตรงจุด ตลาดไทยอาจจะกลายเป็นตลาดร้างที่ไม่ใครสนใจ สภาพคล่องหดหาย ต้นทุนทางการเงินสูงขึ้น และไม่สามารถเป็นที่พึ่งให้กับภาคเอกชนของไทยในการระดมเงินลงทุน และเราอาจจะเห็นบริษัทดีๆ ของไทยต้องไประดมทุนในตลาดทุนต่างประเทศก็ได้”
และเมื่อเร็วๆ นี้ ดร.พิพัฒน์ ยังได้ให้ความเห็นในกรณีนี้อีกครั้ง โดยเสนอวิธีแก้ไขปัญหา 3 ทางหลักๆ อย่าง 1) ปฏิรูปเศรษฐกิจไทย ส่งเสริมให้เกิดการลงทุนภาครัฐและเอกชน 2) ปฏิรูปธรรมาภิบาลอย่างจริงจัง ป้องกันไม่ให้เกิดการเอาเปรียบนักลงทุน และ 3) สนใจสภาพคล่องของตลาด ทบทวนมาตรการที่ทำให้สภาพคล่องหดหาย ปรับโครงสร้างตลาดให้เป็นสากล
อ้างอิง KasikornSecurities, Asiaplus Group, Worldbank
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา