ทำไมหุ้นไทยตกหนัก เรื่องนี้สะท้อนอะไร เศรษฐกิจไทยยังไหวหรือไม่
Brand Inside สรุปประเด็นนี้ให้อ่านจากบทความของผู้เชี่ยวชาญในวงการลงทุนอย่าง ดร.นิเวศน์ เหมวชิรากร นักลงทุนหุ้น
ดร.นิเวศน์ บอกว่า การที่ราคาหุ้นไทยตกหนัก จนรู้สึก “ท้อแท้” และ “สิ้นหวัง” จนถึงจุดที่เรียกได้ว่าตลาดหุ้นไทยเป็นตลาดที่ร่วงหนักมากที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง ซึ่งหลังจากปีที่แล้ว ไทยเองก็มีดัชนีตลาดที่ “แย่ที่สุดในโลก”
คำถามคือ ทำไมหุ้นไทยนั้นตกต่ำลง ทั้งๆ ที่ตลาดหุ้นต่างประเทศปรับตัวสูงขึ้นอย่างทั่วหน้า นี่คือ 5 เหตุผลที่ดร.นิเวศน์ เขียนอธิบายไว้
-
ต่างชาติขายหุ้นไทยแสนล้านบาท
ดร.นิเวศน์ มองว่า เหตุผลที่หุ้นไทยตก เพราะนักลงทุนต่างชาติ “ขายสุทธิ” หุ้นในตลาดค่อนข้างมาก และเป็นการขายต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีจนถึงวันนี้ สูงถึงเกือบแสนล้านบาท ในเวลาไม่ถึง 6 เดือน ซึ่งก็เป็นการขายสุทธิที่สูงมากเมื่อเปรียบเทียบกับอดีตในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาที่ต่างชาติขายเฉลี่ยปีละประมาณ 1 แสนล้านบาท รวมแล้วขายมาแล้วประมาณ 1 ล้านล้านบาท
แต่การขายสุทธิโดยตัวของมันเองก็ไม่ได้แปลว่าหุ้นจะต้องลงเสมอไป ตัวอย่างเช่นหุ้นในเอเชียส่วนใหญ่ ในช่วงนี้ต่างก็ถูกขายสุทธิเช่นเดียวกัน แต่ตลาดหุ้นก็ไม่ได้ลง เช่น
ตลาดหุ้นเวียตนามในช่วงนี้ก็ถูกขายสุทธิจากต่างชาติหนักมาก แต่ดัชนีหุ้นยังปรับตัวขึ้นถึงประมาณ 13% นับจากต้นปี หรืออย่างดัชนีฮั่งเส็งของตลาดฮ่องกงเองก็ปรับตัวขึ้นประมาณ 6% ทั้ ๆ ที่มีปัญหาตกลงมาหนักถึงประมาณ 10% ในช่วงต้นปี
-
นักลงทุนระยะสั้นพอมีโอกาสทำกำไร แต่โอกาสขาดทุนก็สูง
แบ่งออกเป็นนักลงทุนระยะสั้น และ นักลงทุนระยะยาว
สำหรับนักลงทุนระยะสั้น หรือ “นักเทรด” สามารถทำกำไรในตลาดหุ้นได้แม้ในยามหุ้นตก ก็คือว่า ช่วงระยะเวลาที่หุ้นตก จะมีช่วงเวลาที่หุ้นจะเด้งหรือดีดตัวขึ้น พวกเขาก็สามารถช้อนซื้อหุ้นในช่วงหุ้นตกและขายในช่วงที่หุ้นขึ้นทำกำไรได้
แต่ในช่วงนี้หุ้นปรับตัวขึ้นมีระยะเวลาสั้นมาก บางทีแค่ 2-3 ชั่วโมงในตอนเช้า โอกาสที่จะทำกำไรน้อย แต่โอกาสขาดทุนสูง ทำให้หมดกำลังใจที่จะเล่น
ส่วนนักลงทุนระยะยาว “แนว VI” นักลงทุนแห่เข้าไปลงทุนกับบริษัทที่มีผลประกอบการดี ทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นเหนือดัชนีมาก ทำกำไรให้กับนักลงทุนรายใหญ่ ในขณะที่นักลงทุนรายย่อยจำนวนมากที่เข้าไปร่วม “เก็งกำไร” ก็สามารถทำกำไรได้ “ทุกวัน”
-
ผลประกอบการหลายบริษัทติดลบ
สำหรับหลายๆ บริษัทที่ประกาศ ตัวเลขผลประกอบการออกมาตั้งแต่ช่วงต้นปีนั้น เรียกได้ว่าแทบจะเป็น “หายนะ” กันเลยทีเดียว เพราะบางบริษัทก็มีปัญหาหนี้สินหุ้นกู้ ก็อาจจะไม่สามารถชำระหุ้นกู้ได้ ดังนั้นหุ้นจึงร่วงลงมา
นอกจากนี้ บริษัทที่เคยถูกมองถึงว่าจะเป็น “ซุปเปอร์สต็อก” ผลประกอบการออกมา ไม่ได้ “แย่” แต่ “น่าผิดหวัง” เพราะการเติบโตลดลงอย่างเห็นได้ชัด เช่นเดียวกับราคาหุ้นที่ก็ทยอยลดลง
สอดคล้องกัน หุ้นมีอาการ “คอร์เนอร์แตก” มาก่อนแล้ว และดังนั้น การที่บริษัทก็ยังมีกำไรที่ดีอยู่ เพียงแต่โตช้าลงหรือไม่โต จึงไม่สามารถที่จะหยุดการตกลงมาของหุ้นได้
-
ลบล้างทฤษฎี ผลกระกอบการดี หุ้นโตเร็ว
หุ้นใหญ่บางตัว คือ เป้าหมายการขายหุ้นของนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งตัวเลขผลประกอบการของบริษัทที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง กลายเป็นตัวเลือกให้กับนักลงทุนที่อยากลงทุน แต่ข้อเท็จพบว่า “ราคาหุ้นกลับตกลงอย่างแรง”
สวนทางกับคำว่า ผลประกอบการของบริษัทเป็น “พ่อทุกสถาบัน” ซึ่งในวงการหุ้นนั้นหมายความว่า ถ้าบริษัทไหนผลประกอบการดี หุ้นจะต้องวิ่งตามอย่างแรง แต่ทฤษฎีนี้กลับถูกทำลายอย่าสิ้นเชิง
และถ้าผลประกอบการไม่สามารถที่จะทำให้หุ้นขึ้นได้ หุ้นจะไปได้อย่างไร?
เราจะรออะไรได้อีก! และทั้งหมดก็คือ ความท้อแท้-สิ้นหวัง ในตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ ซึ่งก็แสดงออกผ่านปริมาณการซื้อขายหุ้นต่อวันที่ลดลงมาเรื่อยๆ และผมเชื่อว่าลดลงในทุกกลุ่มตั้งแต่นักเล่นหุ้นรายวันไปจนถึงรายใหญ่และเหล่า VI แม้แต่คนที่ถือยาวแบบไม่คิดจะขาย
-
ปัญหาที่แท้จริงของตลาดหุ้นไทย
ดร.นิเวศน์ มองว่า ปัญหาของตลาดหุ้นไทยเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่แก้ไขยาก แบ่งออกเป็น 3 โครงสร้าง คือ
โครงสร้างแรก คือ ประชากรที่แก่ตัวลงอย่างรวดเร็ว ในขณะที่จำนวนคนเกิดใหม่น้อยลงอย่างรวดเร็วยิ่งกว่า ส่งผลต่อ GDP ลดลง และจะลดลงไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกับคนวัยทำงานที่มีความรู้ด้านเทคโนโลยีต่ำ
โครงสร้างที่สอง คือ ระบบการปกครองประเทศที่ค่อนข้างล้าสมัยและก็ไม่สามารถปรับเปลี่ยนได้รวดเร็วพอ กล่าวคือ ระบบการปกครองของเราไม่สามารถให้เสรีภาพแก่ประชาชนได้ และรัฐบาลก็ไม่สามารถมีเสถียรภาพมากพอที่จะปฏิบัติตามเจตจำนงนั้น
โครงสร้างที่สาม คือ โครงสร้างของบริษัทซึ่งเป็นผู้เล่นหลักในระบบเศรษฐกิจ ไม่ได้มีการใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่จะสร้างการเติบโตใหม่ๆ ให้ทันคู่แข่ง จึงถูกคู่แข่งประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนแซงหน้า
สรุป ปัญหาเชิงโครงสร้างระบบเศรษฐกิจและการปกครอง หงุดชะงักลงเมื่อประมาณ ประมาณ 10-15 ปีมาแล้ว การรัฐประหารเมื่อ 10 ปีที่แล้วแทบจะทำให้การพัฒนาหรือปรับปรุงโครงสร้างโดยเฉพาะทางการเมืองสะดุดหยุดลงอย่างสิ้นเชิง และแม้ว่ามุมมองทางเศรษฐกิจในระยะยาวจะไม่ดีเลย แต่ราคาหุ้นของไทยก็ยังไม่ถูกพอแบบในตลาดหุ้นจีน ดังนั้น เหตุผลของการซื้อหุ้นไทยจึงน่าจะมีน้อยมาก โดยเฉพาะในสายตาของนักลงทุนต่างประเทศที่มีโอกาสเลือก และนั่นก็คือเหตุผลที่พวกเขาขายหุ้นไทยมาตลอด และก็คงจะยังขายต่อไป
ที่มา – บทความ “ท้อแท้-สิ้นหวัง” โดย ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร เขียนไว้ใน สมาคมนักลงทุนเน้นคุณค่า (ประเทศไทย)
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา