คุณเห็นด้วยกับการถ่ายภาพในโรงหนังไหม?
ช่วงหลังๆ มานี้ เราอาจเคยเห็นคนถ่ายฉากเด็ดๆ ในโรงภาพยนตร์ หรืออัปรูป End Credit ของหนังที่ไปดูลงตามโซเชียลมีเดีย แต่คำถามคือพวกเขา (หรืออาจรวมถึงเรา) ทำไปเพื่ออะไร?
‘Zack Zwiezen’ คือหนึ่งในผู้ที่ตั้งคำถามว่าคนเราจะถ่ายภาพในโรงหนังไปทำไม หลังจากไถ X (Twitter) อยู่ดีๆ แล้วเจอคนโพสต์รูปตนเองขณะชมเรื่อง ‘Wicked’ แต่ก็ต้องตกใจยิ่งกว่าเดิม เมื่อกดเข้าไปอ่านคอมเมนต์ แล้วเจอผู้ใช้งานนับร้อยพากันแชร์รูปที่ถ่ายขณะชมเรื่องนี้เหมือนกัน
พอเห็นแบบนั้น Zwiezen ถึงกับต้องพูดเลยว่า ตนเองรู้สึกหงุดหงิดและเศร้าใจเป็นอย่างมาก
ไม่ใช่แค่ Zwiezen คนเดียวที่รู้สึกรำคาญคนที่เอากล้องขึ้นมาถ่ายขณะชมภาพยนตร์ เพราะชาวเน็ตหลายๆ คนเคยออกมาวิจารณ์ในทำนองว่า “ฉันไม่ได้จ่ายเงินมาเพื่อนั่งมองแสงแฟลชของคนแปลกหน้า”
เหตุการณ์นี้นอกจากจะจุดประกายการโต้เถียงระหว่างชาวเน็ตแล้ว ยังสะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมที่เปลี่ยนไปของผู้ชมภาพยนตร์อีกด้วย
เพราะอะไรคนถึงหันมาถ่ายภาพขณะดูหนังกันนะ?
แพลตฟอร์มสตรีมมิงคือต้นเหตุ? รู้จัก Second-Screen Experience

ปฏิเสธไม่ได้ว่าการมีอยู่ของแพลตฟอร์มสตรีมมิงทำให้พวกเราเข้าถึงภาพยนตร์และซีรีส์ต่างๆ ง่ายกว่าเดิม แถมยังไม่ต้องก้าวขาออกจากบ้านเลยสักนิด
เมื่อคนนิยมดูหนังผ่านแพลตฟอร์มสตรีมมิงมากขึ้น มันก็เกิดปรากฎการณ์ที่เรียกว่า ‘Second-Screen Experience’ ซึ่งหมายถึงการที่เรากำลังรับชมภาพยนตร์อยู่ แต่ในขณะเดียวกันก็ไถมือถือเล่นไปด้วย
พอมีมือถืออยู่ในมือ เราจะทำอะไรกับมันก็ได้ อาจเสิร์ชหาโซเชียลมีเดียของนักแสดง ทักไปหาเพื่อนเพื่อเมาท์มอย หรือดูคลิปหมูเด้งไปด้วยก็ยังได้
จริงๆ แล้วมันก็ไม่ผิดอะไรหรอก ถ้าคุณจะดูหนังไปด้วยแล้วไถโทรศัพท์ไปด้วย ตราบใดที่ยังอยู่ในพื้นที่ส่วนตัว เช่นบ้านหรือคอนโด
แต่เมื่อออกมาดูหนังในที่สาธารณะอย่างโรงภาพยนตร์ จะติดนิสัยแบบที่เคยทำตอนดูสตรีมมิงก็คงไม่ดีเท่าไหร่ เพราะมันอาจรบกวนคนรอบข้าง
แม้เนื้อหาของภาพยนตร์ที่ดูตามแพลตฟอร์มสตรีมมิงกับในโรงหนังจะเหมือนกัน แต่ต้องอย่าลืมด้วยว่าสิ่งที่ต่างกันของ 2 สถานที่นี้คือ ‘สภาพแวดล้อม’ และ ‘คนรอบข้างที่ไม่มีใครรู้จักคุณ’
หรือโควิดคือต้นตอตัวจริง?
ความนิยมของแพลตฟอร์มสตรีมมิงเพิ่มขึ้นสูงมากเมื่อเกิดการระบาดของโควิด-19 เนื่องจากคนทั่วโลกต้องล็อกดาวน์อยู่ในบ้าน
ไม่ต้องพูดถึงโรงภาพยนตร์หรือร้านเช่าซีดีเลย เพราะกิจการต่างๆ ต่างก็ต้องปิดชั่วคราวกันทั้งนั้น หรือบางธุรกิจอาจไปแล้วไม่กลับมาอีกเลย
ด้วยเหตุนี้ คนจึงต้องพึ่งพาแพลตฟอร์มสตรีมมิง เช่น Netflix, Disney Plus หรือ HBO เป็นสื่อบันเทิงแทน
‘Belen Edwards’ นักข่าวสายบันเทิงเผยว่า แม้สถานการณ์ตอนนี้จะกลับมาปกติแล้ว แต่หลายๆ คนยังไม่มูฟออนจากพฤติกรรมที่เคยทำตอนดูหนังในพื้นที่ส่วนตัว ซึ่งเห็นได้ชัดเลยจากพฤติกรรม Second-Screen Experience ในโรงหนัง
Edwards เองก็เคยเจอคนแบบนี้ในชีวิตจริง เช่น ตอนไปดูหนังเรื่อง ‘John Wick 4’ เธอเห็นคนหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาอ่านวิกิพีเดียเกี่ยวกับ John Wick 3 ภาคแรก หรือตอนที่เธอไปดู ‘Beau Is Afraid’ Edwards ก็เห็นบางคนนั่งแชทหาเพื่อนรัวๆ เพื่อบอกว่าพวกเขาเกลียดหนังเรื่องนี้มากแค่ไหน
สมัยก่อน ถ้าเราอยากรีแอคอะไรเกี่ยวกับหนังที่ดูให้คนอื่นรู้ หรืออยากเสิร์ชข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับเรื่องที่เพิ่งชม เราก็คงรอให้ภาพยนตร์จบก่อน แต่พอเป็นตอนนี้ Edwards เล่าว่า มันเหมือนกับทุกคนอดใจรอไม่ได้ จนไม่ดูกาลเทศะ
มันเป็นสิ่งที่วัยรุ่นเทสต์ดีเขาทำกัน
ในเมื่อคนเกือบทั้งโลกรู้กันแล้วว่าเราไม่จำเป็นต้องออกจากบ้านก็ดูหนังได้ แล้วทำไมถึงยังไปโรงภาพยนตร์กันอีก?
‘Barbenheimer’ (Barbie + Oppenheimer) คือปรากฎการณ์ที่ทำให้ผู้คนกลับมาเข้าโรงหนังมากที่สุดนับตั้งแต่ปลดล็อกดาวน์โควิด
เมื่อคนต่างพากันตื่นเต้นกับหนังสองเรื่องนี้ พวกเขาก็เปลี่ยนความสนุกนั้นมาเป็นหนทางสู่ความดังในโซเชียลมีเดีย ผ่านการผลิตมีมที่เกี่ยวข้องกับหนังบ้าง หรือแต่งชุดตามตัวละครต่างๆ ไว้อัปลงโซเชียล
Edwards มองว่า Barbenheimer กลายเป็นชนวนที่ทำให้ชาวเน็ตหิวแสง เหมือนกับว่าตนเองจะตกเทรนด์นี้ไม่ได้ ส่งผลให้ปัจจุบัน การไปดูหนังไม่ใช่แค่เรื่องของการเสพสื่อบันเทิงอีกต่อไป แต่เป็นการทำเพื่อบอกให้โลกรู้ว่า “ฉันไปดูมาแล้วนะจ๊ะ”
ตัวอย่างเทรนด์ที่คนเคยทำในโรงหนังคือ
- ถ่ายซีนเดิมหลายๆ ช็อตเพื่อเอาไปล้อเลียนพวกที่ไปคอนเสิร์ตแล้วชอบถ่ายรูปศิลปินรัวๆ
- ถ่ายฉากที่นักแสดงแก้ผ้าโดยไม่ปิดแฟลช เพื่อเป็นมุกทำเป็นเหมือนว่า โดนจับได้ซะแล้วว่าแอบถ่ายอะไร
ในมุมของ Edwards จุดประสงค์ของทั้งสองเทรนด์นี้ ไม่ใช่เพื่อเล่าประสบการณ์การดูหนัง แต่ทำไปเพื่อเรียกแสงให้ตนเองทั้งนั้น
“สำหรับผู้ชมกลุ่มนี้ ตัวละครหลักตัวเดียวในเรื่องคือพวกเขาเอง” Edwards กล่าว
มันเป็นเวลาเดียวที่ทุกคนจะได้ตัดขาดจากโลกออนไลน์
เมื่อเกิดการถกเถียงบนโซเชียลเกี่ยวกับการถ่ายภาพในโรงหนัง ฝ่ายที่เข้าข้างคนถ่ายมักจะให้ความเห็นว่า “ฉันหรี่แสงหน้าจอแล้วไงและถ่ายแค่ไม่กี่ช็อตด้วย” แต่สำหรับ Zwiezen แล้ว ต่อให้แสงจอมันมืดสุดๆ การกระทำนั้นก็ยังน่ารำคาญอยู่ดี
Zwiezen รู้ดีว่าสมัยนี้ คนติดมือถือมากแค่ไหน เพราะเขาเองก็ออกห่างจากโทรศัพท์ไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้ Zwiezen หลงรักโรงภาพยนตร์คือ การที่ตนเองสามารถตัดขาดจากโลกออนไลน์ได้ แม้จะเป็นเวลาแค่ไม่กี่ชั่วโมง แต่สิ่งที่รับชมอยู่ตรงหน้าทำให้เขาผ่อนคลายจากความเครียดในชีวิตจริง
Zwiezen อยากรณรงค์ให้ทุกคน ไม่ใช้มือถือในโรงภาพยนตร์ ไม่ว่าคุณจะเอามันมาเพื่อถ่ายฉากเด็ด คุยกับเพื่อน หรืออะไรก็ตาม ขอให้งดไว้แค่ใน 2-3 ชั่วโมงนี้ เพื่อที่ทุกคนจะได้ดื่มด่ำกับโลกที่เงียบสงัด ปราศจากความวุ่นวายทางออนไลน์ใดๆ
“มันเป็นโมเมนต์ที่มหัศจรรย์และวิเศษจริงๆ นะ” Zwiezen เชื่ออย่างนั้น
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา