เคยสงสัยไหมว่าทำไมค่าไฟถึงพุ่งสูงขึ้นทุกครั้งที่เปิดแอร์? โดยเฉพาะในสภาพอากาศร้อนของประเทศไทยที่การเปิดแอร์แทบจะเป็นเรื่องปกติในชีวิตประจำวัน การเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศสักเครื่องจึงไม่ใช่แค่เรื่องของความเย็น แต่เป็นเรื่องของความคุ้มค่าในระยะยาวด้วย และสิ่งที่หลายคนอาจมองข้ามไปก็คือค่า SEER ตัวเลขที่จะช่วยให้คุณประหยัดค่าไฟได้เป็นกอบเป็นกำ ดังนั้น ในบทความนี้จะพาไปเจาะลึกทุกเรื่องที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับค่า SEER เพื่อให้การเลือกแอร์เครื่องต่อไปของคุณ เย็นสบายกระเป๋าอย่างแท้จริง
ค่า SEER คืออะไร
หากจะให้อธิบายแบบเข้าใจง่ายที่สุด ค่า SEER (Seasonal Energy Efficiency Ratio) คือค่าที่ใช้วัดประสิทธิภาพการใช้พลังงานของเครื่องปรับอากาศตลอดทั้งฤดูกาล พูดง่าย ๆ ก็คือ เป็นตัวชี้วัดว่าแอร์เครื่องนั้น “กินไฟน้อยแค่ไหน”
เมื่อเทียบกับความเย็นที่ทำได้ตลอดช่วงเวลาการใช้งานจริงที่มีอุณหภูมิแปรผันแตกต่างกันไปในแต่ละวัน ซึ่งแตกต่างจากการวัดผลแบบเดิม ๆ ที่วัด ณ อุณหภูมิจุดเดียว ดังนั้น ยิ่งตัวเลขค่า SEER สูงเท่าไหร่ ก็ยิ่งหมายความว่าแอร์เครื่องนั้นมีประสิทธิภาพสูงและประหยัดไฟมากขึ้นเท่านั้น
ค่า SEER สำคัญอย่างไร?
ความสำคัญของค่า SEER คือตัวช่วยในการตัดสินใจเลือกซื้อแอร์ที่คุ้มค่าที่สุด การเลือกแอร์ที่มีค่า SEER สูง แม้ในตอนแรกอาจมีราคาที่สูงกว่าเล็กน้อย แต่ในระยะยาวจะช่วยคุณประหยัดค่าไฟฟ้าได้มากกว่าอย่างเห็นได้ชัด ลองนึกภาพว่าคุณประหยัดค่าไฟได้เดือนละหลายร้อยบาท ตลอดอายุการใช้งาน 5 – 10 ปี จำนวนเงินที่ประหยัดได้นั้นมหาศาล
ค่า SEER กับ ค่า EER ต่างกันยังไง?
หลายคนอาจจะยังสับสนระหว่างค่า SEER กับ EER (Energy Efficiency Ratio) ความแตกต่างหลัก ๆ คือ EER เป็นการวัดประสิทธิภาพของแอร์ ณ อุณหภูมิใดอุณหภูมิหนึ่งเท่านั้น ซึ่งอาจไม่สะท้อนการใช้งานจริงในสภาพอากาศของประเทศไทยที่มีความร้อนแตกต่างกันไปในแต่ละช่วงเวลาของวัน
แต่ค่า SEER คือการวัดประสิทธิภาพที่ครอบคลุมกว่า โดยคำนวณจากค่าเฉลี่ยตลอดทั้งฤดูกาล ทำให้ตัวเลขที่ได้มีความแม่นยำและใกล้เคียงกับการใช้งานในชีวิตประจำวันมากกว่า ดังนั้น สำหรับการเลือกซื้อแอร์ในประเทศไทย การดูค่า SEER เป็นหลักจึงเป็นทางเลือกที่ดีกว่า
วิธีเลือกแอร์ให้คุ้มค่า ต้องดูค่า SEER เท่าไหร่ดี?
การเลือกแอร์ไม่ใช่แค่การดูค่า SEER เพียงอย่างเดียว แต่ต้องพิจารณาองค์ประกอบอื่นๆ ร่วมด้วย เพื่อให้ได้แอร์ที่เหมาะสมและคุ้มค่าที่สุด
- เลือก BTU ให้พอดีกับขนาดห้อง สิ่งแรกที่ต้องทำ คือการเลือกขนาด BTU (British Thermal Unit) ของแอร์ให้เหมาะสมกับขนาดของห้อง หากเลือก BTU ต่ำเกินไป แอร์จะทำงานหนักตลอดเวลาและไม่เย็น แต่ถ้าเลือกสูงเกินไป คอมเพรสเซอร์จะตัดบ่อย ทำให้ห้องชื้นและเปลืองไฟโดยใช่เหตุ
- ค่า SEER สูง ยิ่งประหยัดไฟ เมื่อได้ขนาด BTU ที่เหมาะสมแล้ว ให้เปรียบเทียบรุ่นต่างๆ โดยเลือกรุ่นที่มีค่า SEER สูงที่สุดเท่าที่งบประมาณจะเอื้ออำนวย ปัจจุบันแอร์เบอร์ 5 รุ่นใหม่ๆ มักจะมีค่า SEER สูงกว่า 15 ขึ้นไป ซึ่งถือเป็นมาตรฐานที่ดีในการประหยัดพลังงาน
- ระบบ Inverter เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด แอร์ระบบ Inverter สามารถปรับความเร็วรอบของคอมเพรสเซอร์ได้ตามอุณหภูมิห้อง ทำให้รักษาอุณหภูมิได้คงที่และทำงานเงียบกว่า ซึ่งเทคโนโลยีนี้ส่งผลให้แอร์ระบบ Inverter มีค่า SEER สูงกว่าแอร์ระบบธรรมดา (Fixed Speed) อย่างชัดเจน
- ฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 เครื่องหมายการันตีการประหยัดพลังงานที่น่าเชื่อถือที่สุด อย่าลืมมองหาฉลากนี้ทุกครั้ง และยิ่งไปกว่านั้น ฉลากรุ่นใหม่จะมีดาวกำกับอยู่ด้วย ยิ่งดาวมาก ก็ยิ่งหมายถึงค่า SEER ที่สูงขึ้นและประหยัดไฟมากขึ้นไปอีก
- เปรียบเทียบราคาและค่าไฟในระยะยาว อย่าตัดสินใจจากราคาซื้อเพียงอย่างเดียว ลองคำนวณค่าใช้จ่ายระยะยาวดู แอร์ที่มีค่า SEER สูงกว่าอาจมีราคาแพงกว่าในตอนแรก แต่เมื่อนำส่วนต่างค่าไฟที่ประหยัดได้ในแต่ละปีมาคำนวณ จะพบว่าในท้ายที่สุดแล้วมีความคุ้มค่ามากกว่า
สรุปบทความ
ค่า SEER ถือเป็นหัวใจสำคัญของการเลือกซื้อเครื่องปรับอากาศในยุคนี้ การมองหาแอร์ที่มีค่า SEER สูง ควบคู่ไปกับการเลือกระบบ Inverter และขนาด BTU ที่เหมาะสมกับห้อง จะไม่เพียงทำให้คุณได้ความเย็นสบาย แต่ยังช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในระยะยาวได้อย่างมีนัยสำคัญ การเลือกแอร์ครั้งต่อไป อย่าลืมพลิกดูฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 และให้ความสำคัญกับตัวเลข SEER เพื่อการลงทุนที่เย็นสบายและคุ้มค่าที่สุดสำหรับบ้านของคุณ
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา