AI กำลังแทนคนทุกวงการ แล้วตำนานนักลงทุนวัย 95 ปี อย่าง ‘ปู่บัฟเฟตต์’ จะโดนไหม

ย้อนกลับไปเมื่อ 8 ปีก่อน ตอนที่กองทุนที่ขับเคลื่อนด้วย AI เปิดตัวครั้งแรก หลายคนยังมองว่านี่เป็นแค่ “ของเล่นราคาแพง”

ผ่านมาไม่กี่ปี วันนี้ AI กลายเป็นเหมือน ‘มือขวา’ ของนักลงทุน ทำได้ทั้งดึงข้อมูลจากเอกสารนับพัน วิเคราะห์ตลาดด้วยความเร็วที่มนุษย์ทำไม่ได้ ไปจนถึงช่วยบริษัทบริหารพอร์ตการลงทุนอย่างเป็นระบบ

จนหลายคนเริ่มตั้งคำถามว่า ในเมื่อเครื่องจักรเก่งขนาดนี้ ‘AI’ จะมาทำหน้าที่แทนนักลงทุนระดับ ‘ตำนาน’ ได้ไหม เพราะในโลกของการลงทุน ไม่ได้มีแค่ข้อมูล แต่ยังมี ‘ความรู้สึก’ และ ‘สัญชาตญาณ’ ที่ทำให้บางคนโดดเด่นเหนือคนอื่น

โดยเฉพาะมหาเศรษฐี Warren Buffet หรือ ‘ปู่บัฟเฟตต์’ ที่ยังคงเป็นต้นแบบของการลงทุนที่ผสมผสานทั้งสองสิ่งเข้าด้วยกัน

AI จะแทนที่ ‘ปู่บัฟเฟตต์’ ได้หรือไม่

‘บัฟเฟตต์’ ในวัย 95 ปี ยังคงมอง AI ด้วยความระมัดระวัง เขาเคยเปรียบเทียบเทคโนโลยีนี้ว่า “น่ากลัวเหมือนอาวุธนิวเคลียร์”

แม้ในอีกด้านหนึ่ง เขาเองก็ลงทุนใน Big Tech อย่าง ‘Apple’ และ ‘Amazon’ ที่ทุ่มงบมหาศาลพัฒนา AI แต่นักวิเคราะห์มองว่า ตัวตนของ ‘บัฟเฟตต์’ ยังไม่สามารถถูกแทนที่ได้ง่ายๆ

หนึ่งในตัวอย่างที่น่าสนใจคือ กองทุน Intelligent Livermore ETF ที่เพิ่งเปิดตัว ใช้โมเดลอย่าง ChatGPT, Gemini, และ Claude ทำหน้าที่เป็น ‘คณะกรรมการลงทุน’ ของกองทุน

โดยฝึกให้ศึกษาแนวคิดจากบทความ และจดหมายผู้ถือหุ้นของนักลงทุนระดับตำนาน เพื่อนำมาใช้เป็นแนวทางในการเลือกหุ้นสไตล์เดียวกับ ‘บัฟเฟตต์’

อย่างไรก็ตาม Doug Clinton ซีอีโอของ Intelligent Alpha ผู้พัฒนา ETF นี้ ก็ยอมรับว่า ถึงแม้ AI จะคัดกรองบริษัทที่ ‘ตัวเลขสวย’ เช่น กำไรสูง ราคาหุ้นไม่แพง ได้ใกล้เคียงกับ ‘บัฟเฟตต์’ แต่ยังขาด ‘สัญชาตญาณ’ ของมนุษย์ ในการ ‘รู้สึก’ ได้ทันทีว่าควรเลือกหุ้นตัวไหน

แถมยังต้องใช้คนจริงๆ เป็นด่านสุดท้ายในการอนุมัติพอร์ต เพราะผู้ลงทุนต้องการความมั่นใจว่า AI จะไม่ ‘หลอน’ หรือทำผิดพลาดแบบไร้เหตุผล

นอกจากนี้ ขณะที่ ‘ปู่บัฟเฟตต์’ สร้างความสำเร็จจากการลงทุนหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ (Public Market) ซึ่งมีข้อมูลเปิดเผยครบถ้วน และเป็นระบบอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นงบการเงิน รายงานผลประกอบการ หรือราคาหุ้นที่อัปเดตทุกวินาที จนแทบไม่มีอะไรให้ AI เข้ามาค้นพบเพิ่มมากนัก

แต่ในอีกฟากหนึ่งของโลกการลงทุนอย่าง ‘สินทรัพย์นอกตลาดหลักทรัพย์’ (Private Market) กลับกลายเป็นพื้นที่ใหม่ที่ AI เข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้น เพราะตลาดนี้ไม่ได้มีฐานข้อมูลแบบเดียวกับตลาดหุ้นทั่วไป นักลงทุนต้องอาศัยทั้งเครือข่าย ความสัมพันธ์ และการวิเคราะห์เชิงคุณภาพอย่างลึกซึ้งเพื่อเลือก ‘ผู้จัดการกองทุน’ ที่จะนำเงินไปลงทุนในระยะยาว

Matt Malone จาก Opto Investments อธิบายว่า AI เข้ามาช่วยได้ดีตรงนี้ เพราะสามารถอ่าน และสกัดข้อมูลจากเอกสารเสนอขายกองทุน (fund prospectus) ที่ซับซ้อน แล้วเปลี่ยนเป็นฐานข้อมูลที่ช่วยให้นักลงทุนเปรียบเทียบ ‘คนดูแลกองทุน’ ได้แม่นยำขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ตลาดการลงทุนแบบเดิมทำได้ยากมาก

ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ AI ยังช่วยเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้กับนักลงทุนรายย่อยที่เดิมแทบไม่มีทางเข้าถึงตลาดนี้ได้เลย เพราะข้อมูลและเครือข่ายส่วนใหญ่ ถูกจำกัดอยู่ในวงปิดของนักลงทุนสถาบัน การใช้โมเดลวิเคราะห์ที่ดึงข้อมูลจากเอกสารนับพัน

ทำให้ AI สามารถเปิดเผยรูปแบบการลงทุนของกองทุนเอกชนเหล่านี้ออกสู่สาธารณะได้มากขึ้น ช่วยให้คนทั่วไปมองเห็นแนวโน้ม และประสิทธิภาพของผู้จัดการกองทุนแต่ละรายได้ชัดขึ้นกว่าเดิม เป็นการเปิดประตูสู่โลกการลงทุนที่เคยอยู่หลังม่าน ให้โปร่งใสและเข้าถึงง่ายขึ้น

ทว่าเมื่อถึงขั้นสุดท้ายก็ยังต้องใช้การตัดสินใจของคน เพราะ AI มักใช้ข้อมูลในอดีตมาตัดสิน แต่คนจะมองไปข้างหน้า เช่น ภาวะเงินเฟ้อ ดอกเบี้ย หรืออนาคตของอุตสาหกรรม

สมมุติว่า AI บอกว่าผู้จัดการกองทุนทำผลงานดีในธุรกิจโรงแรม แต่ถ้าคนเชื่อว่าธุรกิจโรงแรมในอนาคตไม่น่าลงทุน ก็ยังปฏิเสธได้

Bob Elliott อดีตผู้บริหารจาก Bridgewater Associates และผู้ก่อตั้ง Unlimited Funds บอกว่า AI ยังไม่สามารถปฏิวัติการลงทุนได้ เพราะทำได้เพียงต่อยอด ใช้สูตรคณิตศาสตร์ และระบบอัตโนมัติช่วยลงทุนเท่านั้น

Elliott อธิบายเพิ่มเติมว่า สิ่งที่ทำให้ AI มีบทบาทมากขึ้นในช่วงนี้ ไม่ได้มาจาก ChatGPT อย่างที่หลายคนคิด แต่เป็นเพราะคอมพิวเตอร์มีราคาถูกลง และเทคนิคการคำนวณดีขึ้นเรื่อยๆ ทำให้โมเดลสามารถประมวลผลข้อมูลมหาศาลได้รวดเร็วกว่าเดิมหลายเท่า

อย่างไรก็ตาม แม้ AI จะเก่งแค่ไหน แต่ในโลกของการลงทุน ‘มนุษย์’ ก็ยังเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ขาดไม่ได้ เพราะแม้แต่ในตลาดเชิงระบบ (systematic investing) นักลงทุนก็ยังอยากรู้ว่า ‘ใคร’ คือคนที่อยู่เบื้องหลังพอร์ตนั้น ไม่ใช่แค่ตัดสินใจอย่างไร แต่ใครคือคนที่ต้องรับผิดชอบเมื่อมันพลาด

Elliott บอกว่า ในตลาดที่มีการเทรดถี่ระดับวินาที เช่น high-frequency trading มันอาจเป็นเรื่องของเครื่องจักรล้วนๆ ก็จริง แต่สำหรับนักลงทุนทั่วไป พวกเขายังเชื่อในการมองตา และพูดคุยตรงไปตรงมา เชื่อว่าการตัดสินใจทุกครั้ง คือความรับผิดชอบของตัวเอง ไม่ว่าผลลัพธ์จะออกมาอย่างไร คนที่ต้องอธิบายคือคนที่ตัดสินใจ ไม่ใช่ระบบหรืออัลกอริทึมใดๆ

ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า จุดที่ AI ยังไปไม่ถึง ไม่ใช่เรื่องตัวเลขหรือประสิทธิภาพการคำนวณ แต่คือความสัมพันธ์ระหว่าง ‘คน’ กับ ‘ความเชื่อมั่น’ ที่ฝังลึกอยู่ในโลกการลงทุน โดยเฉพาะแนวทางการลงทุนแบบเน้นคุณค่า (Value Investing) ที่ไม่ได้พิจารณาเฉพาะตัวเลขหรือกราฟ แต่ยังให้ความสำคัญกับเรื่องราวของบริษัท ผู้บริหาร วัฒนธรรมองค์กร และกลยุทธ์ในระยะยาว

ตรงไหนบ้างที่ AI ยังแทน Buffet ไม่ได้

ปัญหาหลักของ AI ที่ยังแทน Buffet ไม่ได้ มีดังนี้

  • การมองระยะยาว: ‘บัฟเฟตต์’ ถือหุ้นนานเป็นสิบปี ปล่อยให้มูลค่าธุรกิจเติบโตเอง ขณะที่ AI มักวิ่งตามกระแสระยะสั้น
  • ความเข้าใจเชิงลึก: ‘บัฟเฟตต์’ เลือกลงทุนในธุรกิจที่เขาเข้าใจจริงๆ แต่ AI บางครั้งเป็น ‘กล่องดำ’ ที่แม้คนสร้างก็ไม่รู้แน่ว่าตัดสินใจจากอะไร
  • การพึ่งข้อมูลเก่าเกินไป: AI มักใช้ข้อมูลในอดีตมาตัดสินใจ ซึ่งใช้ไม่ได้เสมอไปเวลาเจอวิกฤตใหม่ๆ หรือเหตุการณ์ไม่คาดคิด
  • การกันพลาด: ‘บัฟเฟตต์’ ซื้อหุ้นเมื่อราคาต่ำกว่ามูลค่าที่ควร เพื่อเผื่อความผิดพลาด แต่ AI มักถูกกดดันให้เสี่ยง เพื่อหาผลตอบแทนมากขึ้น ตาม KPI ของผู้บริหารกองทุน
  • ความใจเย็น: ‘บัฟเฟตต์’ อดทน ไม่ตื่นตระหนกตามตลาด แต่ AI มักปรับเปลี่ยนเร็วเกินไป ทำให้เสียโอกาสสะสมผลตอบแทนระยะยาว
  • ความโปร่งใสและน่าเชื่อถือ: ‘บัฟเฟตต์’ เล่าการตัดสินใจให้นักลงทุนฟังได้ชัดเจน แต่การตัดสินใจของ AI มักไม่สามารถอธิบายง่ายๆ ทำให้ยากต่อการสร้างความไว้ใจ
  • ต้นทุนสูง: กองทุน AI ต้องแบกรับค่าใช้จ่ายเรื่องระบบและข้อมูลมหาศาล จนผลตอบแทนสุดท้ายอาจไม่โดดเด่นเมื่อหักต้นทุนออก

ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า แม้ AI จะเป็นเครื่องมือทรงพลังที่ช่วยให้นักลงทุนทำงานได้เร็วและแม่นยำ แต่สิ่งที่ Buffet มี ไม่ว่าจะเป็นวินัย ความอดทน ประสบการณ์ และมุมมองแบบมนุษย์ ยังยากที่จะใส่เข้าไปในอัลกอริทึมได้

AI อาจชนะในเรื่องความเร็ว และการประมวลผลก็จริง แต่ ‘บัฟเฟตต์’ ชนะในเรื่อง ‘ภูมิปัญญา’ ที่ยังไม่มี ‘ใคร’ หรือ ‘เครื่อง’ ไหนแทนได้

ที่มา: Quartz, Air Guide, Finnomena

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา