ห้างสรรพสินค้าวอลมาร์ท (Walmart) เริ่มถอดใจกับแผนการบุกตลาดจีนที่ไม่ประสบความสำเร็จอย่างที่คิด และขายธุรกิจอีคอมเมิร์ซ Yihaodian ให้กับ JD.com แล้ว
Walmart เริ่มบุกเข้าจีนตั้งแต่ปี 1996 โดยเปิดร้านสาขาแรกที่เสิ่นเจิ้น และปัจจุบันมีห้างถึง 430 สาขาทั่วจีน ซีอีโอ Doug McMillion ระบุว่ายุทธศาสตร์การรุกตลาดจีนถือเป็นอนาคตของบริษัท หลังอัตราการเติบโตของรายได้ในสหรัฐเริ่มช้าลง
ก่อนหน้านี้ Walmart เพิ่งปรับยุทธศาสตร์ ถอยทัพในตลาดบางประเทศที่ไม่ทำเงิน เช่น ถอนตัวจากเยอรมนีและเกาหลีใต้ รวมถึงลดจำนวนสาขาในบราซิลลง ปัญหาของ Walmart ในตลาดนอกสหรัฐคือมีสาขาไม่เยอะเท่า ทำราคาได้ต่ำ และเจอกับการแข่งขันที่รุนแรงในทุกตลาด
อย่างไรก็ตาม ในตลาดจีน Walmart ก็ประสบปัญหามากมาย โดยเฉพาะมาตรฐานความปลอดภัยของอาหารที่มีปัญหาอยู่หลายครั้ง นอกจากนี้ ในจีนยังมีข้อจำกัดเรื่องลอจิสติกส์และโครงสร้างพื้นฐานที่ไม่พร้อม ทำให้ Walmart ไม่สามารถใช้ยุทธศาสตร์การกระจายสินค้าแบบเดียวกับในสหรัฐได้ง่าย
ปัญหาอีกอย่างของ Walmart คือบริษัทใช้กลยุทธ์ “ราคาถูกกว่า” เป็นจุดแข็งในสหรัฐอเมริกามานาน (สโลแกนของบริษัทในสหรัฐคือ everyday low prices”) แต่ในประเทศจีนที่เจอปัญหาอาหารไม่ได้คุณภาพหลายต่อหลายครั้ง ทำให้ผู้บริโภคเกิดความระแวงทันทีเมื่อเจอสินค้าที่ราคาดูจะถูกผิดปกติ ช่วงหลัง Walmart จึงต้องปรับสโลแกนในจีนมาเป็น “Worry Free” แทน
ในฝั่งของอีคอมเมิร์ซ Walmart ซื้อกิจการเว็บไซต์ขายอาหารสดและของชำ Yihaodian (YHD) ในปี 2015 แต่ก็ไม่สามารถเจาะตลาดอีคอมเมิร์ซที่มีบริษัทจีนยักษ์ใหญ่ทั้ง Alibaba และ JD.com ยึดครองอยู่ ส่งผลให้ Yihaodian มีส่วนแบ่งตลาดเพียง 1% เท่านั้น (Tmall ของ Alibaba มีส่วนแบ่ง 57.8% ส่วน JD.com มี 23.3%)
ล่าสุด Walmart ต้องขายกิจการ Yihaodian ให้กับ JD ทั้งหมด โดยแลกกับหุ้น 5% ใน JD แทน และส่งผลให้ Walmart แปรสภาพเป็นผู้ค้าอาหารสดรายใหญ่บนเว็บไซต์ JD ไปโดยปริยาย
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา