วงการค้าปลีกประเดิมต้นปี 2018 ด้วยข่าว Walmart ประกาศปิดเชนร้าน Sam’s Club กว่า 63 แห่งทั่วประเทศอย่างกะทันหัน พนักงานตกงานไม่รู้ตัว ลูกค้าบางคนบอก “เห็นพนักงานออกมายืนร้องไห้ตรงลานจอดรถ”
ปิดกะทันหัน ไม่ทันตั้งตัว กระทบพนักงานนับหมื่นคน
Sam’s Club เชนร้านค้าปลีก-ค้าส่งของ Walmart ประกาศปิดตัวอย่างกะทันหัน 63 แห่งทั่วประเทศสหรัฐอเมริกา ส่งผลให้พนักงานส่วนใหญ่ตกงานอย่างไม่รู้ตัวมาก่อน เพราะไม่ได้รับแจ้งล่วงหน้ามาก่อน
- จากการคำนวณ ในแต่ละสาขาจะมีพนักงานประมาณ 175 คน เพราะฉะนั้นการปิดตัวอย่างกะทันหัน 63 แห่งในครั้งนี้ จะกระทบพนักงานอย่างน้อย 11,025 คน
ขณะนี้ Sam’s Club จะทยอยปิดสาขาไปเรื่อยๆ ให้ครบ 63 แห่งที่ตั้งเป้าไว้ เชื่อว่าจะใช้เวลาอีกหลายสัปดาห์กว่าจะเสร็จสิ้น
นอกจากนั้น Walmart ยังได้ประกาศอย่างเป็นทางการด้วยว่า เงินรายปีที่สมาชิกจะต้องจ่ายราว 45 ดอลลาร์ต่อปี (เป็นกฎของ Sam’s Club ที่ลูกค้าต้องสมัครเป็นสมาชิก หากเข้ามาใช้บริการและซื้อของในร้าน) จะทำการคืนให้กับสมาชิกทุกคนภายหลังการทยอยปิดสาขา
ไม่บอกล่วงหน้า ไม่บอกตรงๆ บางรายก็ส่ง FedEx ไปบอก
พนักงานรายหนึ่งชื่อ Nic Townsend โดยให้สัมภาษณ์ว่า เขาได้รับจดหมายลาออกจากพนักงานส่งของทาง FedEx ตอนแรกคิดว่าเป็นใบกำกับภาษี แต่เมื่อเปิดดูเป็นใบแจ้งว่า Sam’s Club จะทำการปิดตัว “ตอนนั้นฉันไม่รู้เลยว่าจะทำตัวอย่างไร เพราะมีลูก มีแม่ที่ป่วยทางจิต ฉันรู้สึกหลงทาง ใจสลาย และกลัวเอามากๆ”
นักช้อปบางคนที่ไปซื้อของที่ Sam’s Club ในวันที่บริษัทประกาศปิดตัวให้สัมภาษณ์ไว้เช่นเดียวกันว่า “ฉันเห็นพนักงานหลายคนออกมายืนร้องไห้ตรงลานจอดรถ” มากกว่านั้น เมื่อประกาศปิดสาขาก็ไม่ได้แจ้งล่วงหน้าทั้งพนักงานและลูกค้าอย่างเป็นทางการ ทำให้หลายคนไม่รู้ และเมื่อเดินทางไปที่สาขา ปรากฏว่าปิดทำการ ทำให้เกิดความวุ่นวายและไม่พอใจของลูกค้าหลายคน
ปิดของเดิม เพื่อเปิดของใหม่ ศูนย์กระจายสินค้าสำหรับอีคอมเมิร์ซ
John Furner ซีอีโอของ Sam’s Club ส่ง Email หาพนักงานภายในวันปิดทำการอย่างกะทันหันว่า “การเติบโตของร้านไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ เราจะทำการปิดสาขาบางแห่ง และจะส่ง Email หาพนักงานทุกคน และจะปรับบางสาขให้มาเป็นศูนย์กระจายสินค้าสำหรับอีคอมเมิร์ซ และจะขายผ่าน SamsClub.com”
ชัดเจนว่า การปิดสาขากว่า 63 แห่งของ Sam’s Club สะท้อนภาพวงการค้าปลีก(แบบเดิม)ในสหรัฐอเมริกาที่ถดถอยอย่างหนัก และเมื่ออยู่แบบเดิมไม่ได้ ก็จำเป็นต้องโกออนไลน์เพื่ออยู่รอด
ที่มา – Business Insider
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา