Volvo คือหนึ่งในแบรนด์ผู้ผลิตรถยนต์ที่มุ่งหน้าพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า และล่าสุดประธานเจ้าหน้าที่บริหารของแบรนด์นี้ได้ออกมายืนยันว่า รถยนต์ไฟฟ้าจะเป็นที่นิยมมากขึ้นเมื่อจบวิกฤต COVID-19
รถยนต์ไฟฟ้า และบริการร่วมเดินทางคือสิ่งสำคัญ
ปัจจุบันผู้ผลิตรถยนต์ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรค COVID-19 อย่างมาก ทั้งการต้องหยุดโรงงานผลิตชั่วคราว, ขายรถยนต์ที่โชว์รูมไม่ได้ รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ต้องหยุดไว้ก่อน แต่หากภาครัฐต้องการมาช่วยเหลืออุตสาหกรรมนี้ การเน้นหนักไปที่ตัวรถยนต์ไฟฟ้าน่าจะเป็นเรื่องที่ถูกต้อง
Hakan Samuelsson ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร Volvo เล่าให้ฟังว่า การส่งมาตรการต่างๆ มาช่วยอุตสาหกรรมรถยนต์ ต้องนำการสนับสนุนเหล่านั้นไปที่รถยนต์ไฟฟ้า เพราะหากสนับสนุนไปที่กลุ่มรถยนต์ใช้น้ำมัน เท่ากับสนับสนุนเทคโนโลยีเก่า และไม่ได้ส่งเสริมให้อุตสาหกรรมนี้ก้าวไปข้างหน้า
“การมีเทคโนโลยีใหม่เกิดขึ้นคือเรื่องสำคัญในอุตสาหกรรมนี้ และการสนับสนุนให้มันเกิดขึ้นก็น่าจะเป็นเรื่องที่ถูกต้อง ดังนั้นรถยนต์ไฟฟ้าที่ยังมีราคาค่อนข้างสูงอยู่ตอนนี้จึงน่าจะเป็นคำตอบในการสนับสนุน และเชื่อว่าตอนนี้ผู้บริโภคก็เริ่มเข้าใจ และต้องการใช้รถยนต์ไฟฟ้าเช่นกัน”
ขณะเดียวกันเมื่อสิ้นสุดวิกฤต COVID-19 การสนับสนุนให้เกิดบริการร่วมเดินทาง โดยเฉพาะในเมืองใหญ่คืออีกเรื่องที่สำคัญ เพราะการใช้รถยนต์ส่วนตัวในเมืองใหญ่ไม่ใช่แนวคิดที่ถูกต้อง ซึ่งทั้งรถยนต์ไฟฟ้า และบริการร่วมเดินทาง Volvo มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เช่น XC40 Recharge ที่เริ่มจำหน่ายจริงแล้ว
ทั้งนี้ Volvo เริ่มกลับมาเปิดโรงงานผลิตในบางประเทศ แต่ไม่ได้เปิดไลน์ผลิตเต็มที่ เพราะความต้องการของผู้บริโภคยังไม่มากพอ ยกเว้นประเทศจีนที่มีความต้องการซื้อรถใหม่หลั่งไหลเข้ามา แสดงให้เห็นว่า หากอยากสร้างมาตรการช่วยเหลือผู้ผลิตรถยนต์ การสร้างแรงจูงใจให้ผู้บริโภคจับจ่าย สำคัญกว่าการขอร้องให้โรงงานกลับมาผลิตอีกครั้ง
สรุป
การทำตลาดรถยนต์หลังจากนี้น่าจะเปลี่ยนแปลงไปมาก เพราะทุกค่ายผู้ผลิตน่าจะเข้าใจผู้บริโภคที่ต้องดำรงชีวิตในความปกติใหม่ หรือ New Normal ได้ อาจมีทั้งการขายรถยนต์ออนไลน์ หรือส่งทีมช่างไปซ่อมบำรุงเบื้องต้นในที่ต่างๆ แต่ส่วนตัวคิดว่ารถยนต์ไฟฟ้า และบริการร่วมเดินทาง น่าจะเป็นที่นิยมแน่นอน
อ้างอิง // CGTN
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา