LVMH กลุ่มบริษัทสินค้าแบรนด์เนม สินค้า Luxury ในกรุงปารีส ประกาศรายได้เติบโตอย่างต่อเนื่อง ในไตรมาสแรกทำยอดขายสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ถึง 11% ทำให้ยอดขายทั้งปีน่าจะเติบโตที่ 16%
แม้อุตสาหกรรมค้าปลีกทั่วโลกจะประสบปัญหามากมาย แต่ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นปัญหากับสินค้ากลุ่ม Luxury หรือสินค้าแบรนด์เนมราคาแพงเท่าไหร่นัก ถือว่าเป็นการเติบโตติดต่อกันอย่างรวดเร็วเป็นปีที่ 3 แล้วสำหรับสินค้ากลุ่มนี้
โดยที่ล่าสุดกลุ่ม LVMH เป็นกลุ่มบริษัทสินค้าแบรนด์เนมที่ใหญ่ที่สุดในฝรั่งเศส เจ้าของแบรนด์ดังอย่าง LV ได้ประกาศผลประกอบการของไตรมาสแรกของปีว่าสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ โดยที่กลุ่มสินค้าแฟชั่น และเครื่องหนังที่เป็นกลุ่มใหญ่สุดของบริษัทเติบโตขึ้น 15% ได้รับปัจจัยสำคัญจากแบรนด์ Fendi, Berluti และ Loro Piana
ส่วนยอดขายโดยรวมของบริษัทมีการเติบโตขึ้น 11% มีมูลค่า 12,500 ล้านยูโร หรือ 14,100 ล้านเหรียญสหรัฐ ในขณะที่กลุ่มสินค้านาฬิกา เครื่องประดับที่มีผลประกอบการแย่ที่สุดของกลุ่มก็ยังมีการเติบโตด้วยเช่นกัน
ความสำเร็จที่เกิดขึ้นของ LVMH ส่วนหนึ่งมาจากกลยุทธ์การตลาดที่แข็งแกร่งขึ้น การจ้างบุลคากรที่มีความสามารถ ที่สร้างเสียงฮือฮาได้มากที่สุดคงจะหนีไม่พ้น Virgil Abloh ที่รับบทบาทเป็นแม่ทัพทีมครีเอทีฟของ Louis Vuitton จนเกิดดีล Collaboration กับแบรนด์ต่างๆ มากมาย
หรือจะเป็น Kim Jones ดีไซเนอร์ของแบรนด์ Christian Dior และ Kris Van Assche ดีไซเนอร์หน้าใหม่ของแบรนด์ Berluti ทั้งหมดนี้ล้วนสร้างความแปลกใหม่ให้กับแบรนด์เพื่อให้เข้ากับยุคสมัยของคนรุ่นใหม่ด้วย
เห็นการเติบโตของกลุ่ม LVMH แล้ว ถ้าย้อนดูในแง่ของอุตสาหกรรมสินค้า Luxury แล้ว เรียกว่ามีการเติบโตอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีรายงานของ Bloomberg บอกว่าอุตสากหรรมนี้ได้เติบโตอย่างรวดเร็วติดต่อกัน 3 ปีแล้ว
เหตุใดถึงเป็นเช่นนั้น ในขณะที่ค้าปลีกอื่นๆ กำลังเจอวิกฤตหนัก?
เหตุผลหลักก็มาจากผู้บริโภคกลุ่ม Gen Z และกลุ่ม Millennial ที่มีกำลังซื้อที่จะจ่าย และเต็มใจที่จะจ่ายเงินให้กับสินค้าหรูหราเหล่านั้น ส่วนหนึ่งก็มาจากเรื่องภาพลักษณ์ การเข้าสังคม เพราะคนุร่นใหม่สมัยนี้ใช้สินค้าเพื่อบ่งบอกสถานะของตัวเอง ต้องการให้ตัวเองดูดีเสมอ ยอมจ่ายเงินมากขึ้นเพื่อได้สินค้าและบริการที่ดี ตอบโจทย์ความต้องการของตัวเอง
อีกส่วนหนึ่งก็มาจากแรงสนับสนุนของตลาดประเทศจีนด้วย แม้เศรษฐกิจจะมีการชะลอ แต่ตลาดสินค้า Luxury ก็ยังเติบโตได้ คนจีนให้ความนิยมมากขึ้น
แต่อย่างไรก็ดี การเติบโตของตลาด Luxury ที่กล่าวมานี้ ไม่ได้บ่งบอกว่าทุกแบรนด์จะมีการเติบโต ยกตัวอย่างแบรนด์ Prada มีผลประกอบการกำไรลดลงถึง 66% ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา ถ้าแบรนด์ไม่มีการปรับตัวก็คงต้องเจอวิกฤตเหมือนอย่างแบรนด์ค้าปลีกอื่นๆ ในตลาดแน่นอน
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา