เวียดนามมาแรง แซงจีนเรียบร้อย: จีนไม่ใช่ผู้ส่งออกเสื้อผ้าและสิ่งทอรายใหญ่ให้สหรัฐแล้ว

ก่อนหน้านี้ จีนเคยเป็นซัพพลายเออร์รายใหญ่ที่สุดของบริษัทสินค้าแฟชั่นสหรัฐฯ​ แต่ตอนนี้ ดูเหมือนว่าเวียดนามแซงหน้าเรียบร้อยแล้ว 

Chinese President Xi Jinping gives a speech during the Tsinghua Universitys ceremony for Russian President Vladimir Putin, unseen, at Friendship Palace on April 26, 2019 in Beijing, China. (Photo by Kenzaburo Fukuhara – Pool/Getty Images)

หลังจากที่เจอพิษโควิด-19 กระหน่ำอย่างหนักหน่วงตามด้วยความตึงเครียดระหว่างสองมหาอำนาจโลกระหว่างจีนและสหรัฐฯ ที่ร้อนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งนี้ สหรัฐฯ​ นำเข้าเสื้อผ้าจากจีนลดลง โดยปี 2019 สหรัฐฯ นำเข้าจากจีนเกือบ 30% ต่อมา นำเข้าลดลงอยู่ที่ 20% ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2020 

ผลสำรวจจากสมาคมอุตสาหกรรมแฟชั่นสหรัฐฯ (USFIA) สำรวจจากผู้บริหารระดับสูง 25 รายจากบริษัทแฟชั่นชั้นนำ ตั้งแต่เดือนเมษายน-มิถุนายน 2020 แบ่งเป็นบริษัทที่มีพนักงานมากกว่า 1,000 คนอยู่ที่ 68% พนักงาน 500-999 คน อยู่ที่ 5% พนักงาน 100-499 คนอยู่ที่ 16% และพนักงานน้อยกว่า 100 คนอยู่ที่ 11%

บริษัทที่ทำแบบสำรวจนำเข้าจากจีน 100.0% ทั้งในปี 2019 และปี 2020 ขณะที่เวียดนามมีอัตราการนำเข้าเพิ่มขึ้นจากปี 2019 เป็น 95.2% ในปี 2020 / ภาพจาก USFIA

สหรัฐฯ​ นำเข้าสินค้าจากหลากหลายประเทศซึ่งก็มีทั้งจีน เวียดนาม และประเทศอื่นๆ ด้วย ผลสำรวจราว 29% ระบุว่า มีการนำเข้าสินค้าจากเวียดนามมากกว่านำเข้าจากจีนในปีนี้ มีอัตราที่เพิ่มขึ้นมากกว่าปีที่แล้ว 25% 

ข้อมูลจากสำนักงานสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่ม ภายใต้กระทรวงพาณิชย์ สหรัฐฯ เผยว่า สหรัฐฯ ยังคงนำเข้าจากจีนอย่างน้อย 30% ในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ แต่จีนมีการลดราคาอย่างหนักเพื่อให้ออเดอร์จากต่างประเทศยังคงที่ได้ต่อไปและอยู่รอดได้แม้ความต้องการต่ำ 

ผลกระทบจากการขึ้นภาษีต่อต้านจีนจากสงครามการค้า / ภาพจาก USFIA

กราฟจากด้านบนสะท้อนให้เห็นว่า ผลกระทบจากการขึ้นภาษีต่อต้านจีนจากสงครามการค้า มีทั้งความต้องการย้ายไปหาแหล่งซัพพลายเออร์อื่นที่ไม่ใช่จีน แต่หันไปหาประเทศอื่นในอาเซียนแทน เพิ่มขึ้นเป็น 100% จากที่ก่อนหน้านั้นในปี 2019 มีความต้องการเช่นนี้อยู่ที่ 77% เท่านั้น

นอกจากนี้ การปรับตัวของจีนด้วยการหันมาลดราคา หั่นราคาสินค้าให้ถูกลงเพื่อคงความต้องการของลูกค้าให้มีอยู่ต่อไปก้เพิ่มมากขึ้น จากเดิมปี 2019 อยู่ที่ 50% เป็น 90% นั่นหมายความว่า ลูกค้าจะยังอยู่กับจีนต่อไป ตราบใดที่จีนลดราคา นอกจากนี้ก็เป็นปัจจัยทางด้านราคาและความสามารถในการแข่งขันที่บริษัทต่างๆ อยากให้สหรัฐฯ ให้ความสนใจจริงจังมากขึ้น เพราะการตั้งกำแพงภาษีจากสงครามการค้าดังกล่าวกระทบต่อธุรกิจอย่างแท้จริง

อย่างไรก็ตาม ราคาสินค้าต่อหน่วยที่สหรัฐฯ นำเข้าจากจีนนั้นลดลงจาก 2.25 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 70.09 บาทต่อตารางเมตรในปีก่อนหน้า ลดลงอยู่ที่ 1.88 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ  58.56 บาทในช่วงครึ่งปีแรก 2020 ราคาที่จีนเสนอให้นั้น ต่ำกว่าประเทศอื่นๆ ในเอเชียราว 30% 

เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา สหรัฐฯ นำเข้าสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มจากจีนราว 3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 9.34 แสนล้านบาท ราว 90% จากยอดนำเข้าทั้งหมด ซึ่งบวกค่าภาษีจากสงครามการค้าเพิ่มขึ้นอีก 7.5% 

สหรัฐฯ นำเข้าเครื่องนุ่งห่มจากจีนลดลงอย่างมาก ขณะที่เวียดนามและอาเซียนกลับเพิ่มขึ้น / ภาพจาก USFIA

ความขัดแย้งระหว่างจีน-สหรัฐฯ ที่นำไปสู่สงครามการค้าสร้างผลกระทบอย่างหนักต่อผู้ประกอบธุรกิจและผู้บริโภคที่ต้องแบกรับราคาที่บวกเพิ่มขึ้นจากภาษี บริษัทแฟชั่นสัญชาติสหรัฐฯ ก็ต้องบวกราคาเพิ่มจากภาษีเช่นกัน ต้นทุนต่างๆ เพิ่มขึ้นจากการดิสรัปโดยโควิด-19 ทำให้บริษัทต่างๆ เริ่มคิดหันเหจากจีนจริงจัง

เรื่องนี้ Sheng Lu ซึ่งเป็นรองศาสตราจารย์ด้านแฟชั่นและเครื่องนุ่งห่มจากมหาวิทยาลัย Delaware ระบุว่า เหตุการณ์เช่นนี้อาจนำไปสู่การลดการพึ่งพาจีนระยะยาวและหันไปหาแหล่งผลิตที่มีราคาถูกกว่าได้ ซึ่งปัจจุบันไม่ได้มีแค่สงครามราคา ภาษี แต่ยังบวกเรื่องประเด็นสิทธิมนุษยชนที่ผู้บริโภคเรียกร้องให้แบนสินค้าที่ผลิตมาจากการใช้แรงงานชาวอุยกูร์ในมณฑลซินเจียงอย่างผิดกฎหมายอีกด้วย 

ผลสำรวจพบว่า เมื่อถามคำถามว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงแหล่งซัพพลายเออร์ในช่วง 2 ปีข้างหน้าหรือไม่ พบว่า บังคลาเทศมีการเปลี่ยนแปลงสูงเป็นอันดับ 1 อยู่ที่ 55% ตามด้วยอินโดนีเซีย 45% และเวียดนาม 40% แต่ยังไม่ระบุชัดเจนว่าต้องการเพิ่มการนำเข้าจากประเทศใดประเทศหนึ่งเป็นการเฉพาะ

ขณะที่ เมื่อถามว่าการนำเข้าจากประเทศใดที่คิดว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในอีก 2 ปีข้างหน้า พบว่า จีนเป็นอันดับหนึ่งที่จะต้องมีความเปลี่ยนแปลงราว 70.0% หมายความว่าน่าอาจจะลดการนำเข้าจากจีน ทั้งนี้ ไม่ได้มีการระบุว่าจะมีแผนลดการพึ่งพาจากจีนในปริมาณเท่าใด ขณะที่เวียดนามนั้นอยู่ที่ 15% เม็กซิโก 15% ฯลฯ

เมื่อเปรียบเทียบแบบสำรวจความคิดเห็นถึงความเปลี่ยนแปลงที่มีต่อแหล่งซัพพลายเออร์ใหญ่อย่างจีน พบว่าผลสำรวจในปี 2020 มองว่า ในอีกสองปีข้างหน้าบริษัทต่างๆ จะลดการพึ่งพาจากจีนอยู่ที่ 70% แม้จะลดลงจากปี 2019 ที่มองว่า 76.7% แต่ก็ถือว่าเป็นอัตราที่สูง อีกทั้งแรงจูงใจการหั่นราคาลงของจีนทำให้ครองใจบริษัทต่างๆ ได้มากขึ้น

ขณะที่เวียดนามนั้น แนวโน้มที่จะพึ่งพาเวียดนามจากผลสำรวจปี 2020 อยู่ที่ 40.0% ไม่เปลี่ยนแปลง แต่ก็ถือว่าลดลงจาก 2 ปีก่อนหน้า และมีความต้องการอยู่กับเวียดนามเช่นเดิมอยู่ที่ 40.0% ถือว่าเพิ่มขึ้นจาก 2 ปีก่อนหน้า

เวียดนามในปัจจุบันถือเป็นประเทศที่มาแรงที่สุดแห่งยุคสมัย มีการลงทุนจากต่างประเทศ (FDI) ในอุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มกว่า 3 ทศวรรษ มูลค่ารวม 1.95 หมื่นล้านล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 6.07 แสนล้านบาท ซึ่งก็มีเกาหลีใต้ลงทุนมากที่สุด ตามด้วยไต้หวัน ฮ่องกง และจีนตามลำดับ

ภาพจาก Getty Images

ไม่กี่ปีมานี้ จีนส่งออกเสื้อผ้าสำเร็จรูปและสิ่งทอไปยังประเทศต่างๆ น้อยลง แต่ช่วง 7 เดือนแรกของปีนี้ จีนส่งออกสิ่งทอเพิ่มขึ้น 31% ขณะที่เครื่องนุ่งห่มและเครื่องประดับก็ลดลงราว 16% จีนอาจจะมีบทบาทสำคัญมากขึ้นในด้านสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มแก่หลายประเทศในเอเชีย แต่สงครามการค้าไม่น่าจะผลักดันให้บทบาทจีนสำคัญอีกต่อไป คลื่นลูกใหม่ที่น่าสนใจกว่าอย่างเวียดนามกำลังลดบทบาทจีนลงเรื่อยๆ 

ที่มา – SCMPUSFIA 

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา