ถ้าถามว่าช่วงหลังๆ มานี้ ประเทศไหนท็อปฟอร์มแบบมาแรงแซงทางโค้งที่สุดในอาเซียน เชื่อว่าหลายๆ คนคงตอบ ‘เวียดนาม’
นอกจากจะปรับโครงสร้างเจ้าหน้าที่รัฐเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานแล้ว ล่าสุดเวียดนามยังมองไกลด้านการศึกษา ประกาศให้ ‘ภาษาอังกฤษ’ เป็นภาษาที่ 2 สำหรับนักเรียนทุกระดับชั้นแล้วด้วย
โดยแผนนี้ตั้งเป้าว่า เด็กๆ วัย 3-5 ขวบทุกคนต้องได้เรียนภาษาอังกฤษในโรงเรียนเตรียมอนุบาล (Preschool) ภายในปี 2035 แล้วค่อยขยายไปยังเนิร์สเซอรีและอนุบาลภายในปี 2045
สำหรับโรงเรียนประถมและมัธยม ภายในปี 2035 ทุกๆ ระดับชั้นต้องได้เรียนภาษาอังกฤษพื้นฐาน และภายในปี 2045 ทุกๆ สถาบันการศึกษาสายสามัญต้องเปิดหลักสูตรภาษาอังกฤษขั้นแอดวานซ์ ขณะที่โรงเรียนสายอาชีพจะมุ่งเน้นการสอนภาษาอังกฤษที่มีส่วนช่วยในการสร้างงานแทน
ด้วยเป้าหมายที่ชัดเจนขนาดนี้ เวียดนามจึงต้องพยายามออกแบบหลักสูตรภาษาอังกฤษทุกระดับชั้นให้สำเร็จภายในปี 2030 เพื่อให้เดินตามไทม์ไลน์ที่กำหนดไว้ได้ทัน
‘Pham Ngoc Thuong’ รองรัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการและการอบรมของเวียดนาม เผยว่า สิ่งสำคัญหลักๆ ของนโยบายนี้ คือ
- การจัดสรรทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ
- การฝึกอบรมคุณครู
- การร่วมงานกับพาร์ทเนอร์ต่างชาติ
- การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน
- การมีส่วนร่วมในสังคม เพื่อกระตุ้นให้นโยบายนี้สำเร็จได้อย่างมีคุณภาพและประสิทธิภาพ
Thuong มองว่า การเปลี่ยนผ่านของโลกดิจิทัลและเทคโนโลยีในยุคนี้ จะช่วยเสริมการเรียนการสอนให้เข้าถึงแต่ละพื้นที่ง่ายขึ้น แถมยังประหยัดเวลา และลดการใช้ทรัพยากรคนด้วย
ทำให้เป็นภาษาทางการยังยาก ตอนนี้เอาแค่ระดับการเรียนการสอนไปก่อน
ศาสตราจารย์ ‘Nguyen Minh Thuyet’ อดีตรองประธานคณะกรรมมาธิการวัฒนธรรม การศึกษา เยาวชน และเด็ก เล่าว่า เกือบๆ 10 ปีที่แล้ว ผู้นำหลายๆ กระทรวงก็เคยเสนอให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่ 2 ของเวียดนาม เนื่องจากเป็นภาษากลางที่ใช้กันอย่างกว้างขวางทั่วโลก
Thuyet กล่าวว่า ไหนๆ เวียดนามก็เป็นสมาชิกอาเซียน ซึ่งสื่อสารด้วยภาษาอังกฤษเป็นหลักอยู่แล้ว ยังไงสักวัน เวียดนามคงต้องสอนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองตามโรงเรียนต่างๆ อยู่ดี และค่อยพัฒนาไปใช้ในวงกว้าง อย่างระดับชาติ
อย่างไรก็ตาม Thuyet รู้ดีว่า หากอยากตั้งภาษาอังกฤษเป็นภาษาทางการอันที่ 2 ของเวียดนาม ต้องถึงขั้นไปแก้ไขรัฐธรรมนูญเลย ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากเกินกว่าอำนาจของรัฐบาลจะทำได้
ดังนั้น ตอนนี้ รัฐบาลจึงทำได้แค่คิดหากลยุทธ์ที่จะทำให้ภาษาอังกฤษกลายเป็นภาษาที่สองตามสถาบันการศึกษาต่างๆ ไปก่อน
ประชาชนยังพูดอังกฤษไม่ค่อยได้ เน้นค่อยๆ ทำไปในระยะยาว

ความท้าทายหลักของเวียดนามคือ ประชาชนยังใช้ภาษาอังกฤษไม่ค่อยคล่องเป็นส่วนใหญ่ ส่งผลให้นโยบายครั้งนี้เป็นได้แค่แผนระยะยาวที่ต้องวางขั้นตอนแบบละเอียดถี่ถ้วนมากๆ
Thuyet บอกว่า จริงๆ มันมีอีกหลายประเด็นที่ยังไม่เคลียร์ เช่น ภาษาที่สองคืออะไร? มีไว้ทำไม? แล้วเด็กๆ ชาติพันธุ์ที่มีภาษาแม่เป็นภาษาถิ่น จะเรียนรู้ภาษาอังกฤษได้ไหม? ซึ่งคำตอบของคำถามเหล่านี้ก็ต้องบัญญัติลงไปในเอกสารแบบทางการ
Thuyet เสริมว่า รัฐบาลควรวางแผนด้วยว่า ระดับชั้นหรือพื้นที่ไหนควรเป็นกลุ่มแรกๆ ที่ได้ลองหลักสูตรภาษาอังกฤษฉบับใหม่นี้ แต่ในระยะสั้นๆ เขาอยากเปิดหลักสูตรการศึกษา 2 รูปแบบไปก่อนคือ
- สอนทุกวิชาเป็นภาษาเวียดนาม
- สอนบางวิชา เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี เป็นภาษาอังกฤษ ส่วนที่เหลือเรียนเป็นภาษาเวียดนาม
โดยภูมิภาคที่เปิดสอนทั้ง 2 หลักสูตร นักเรียนจะสามารถเลือกได้ว่าอยากเรียนอันไหน และสำหรับพื้นที่ที่ไม่เปิดสอนโปรแกรมที่เป็นภาษาอังกฤษด้วย นักเรียนก็ควรมีสิทธิ์ย้ายไปอยู่โรงเรียนที่มีหลักสูตรนั้นๆ
คุณครูคือผู้เล่นคนสำคัญ และอย่าให้เกิดความเหลื่อมล้ำเป็นอันขาด
คุณเชื่อไหมว่า ศิษย์จะดีได้ต้องมีครูที่ดีก่อน?
รองศาสตราจารย์ท่านหนึ่งของ ‘Hanoi National University of Education’ ย้ำว่า ถ้าจะทำนโยบายนี้จริงๆ ต้องระบุหน้าที่และแผนสำหรับระบบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยให้ชัดเจน โดยเฉพาะสถาบันที่เป็นแหล่งบ่มเพาะครูบาอาจารย์ของประเทศ
ในมุมมองของเขา แผนการปรับปรุงระบบการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยนั้น ควรประกอบไปด้วย
- พัฒนาคอร์สการอบรมและสื่อการเรียนการสอน สำหรับอาจารย์และนักเรียน
- พัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อรองรับการอบรมคุณครู
- มีแผนชัดเจนว่าอยากเน้นคนกลุ่มไหนเข้าศึกษาต่อ
- มีทุนสนับสนุนให้ทั้งอาจารย์และนักศึกษา
- ร่วมงานกับผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาภาษาอังกฤษ
อีกประเด็นที่เวียดนามควรคิดให้ออกคือ จะทำอย่างไรให้เด็กๆ ในพื้นที่ห่างไกลได้รับการศึกษาภาษาอังกฤษดีเทียบเท่ากับเด็กในเมืองจริงๆ
ด็อกเตอร์ท่านหนึ่งจาก ‘Ho Chi Minh City University of Education’ บอกว่า นโยบายนี้ไม่ควรมีความเหลื่อมล้ำ โดยนักเรียนที่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลต้องสามารถเข้าถึงการศึกษาและคุณครูที่มีคุณภาพมากพอ ซึ่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องก็ควรจัดสรรทรัพยากร รวมถึงมีบริการให้คำแนะนำและเครื่องมือช่วยเหลือการเรียนการสอนครอบคลุมทุกพื้นที่ด้วย
ส่วน Thuyet มองว่า จริงๆ โรงเรียนที่อยู่บนป่าบนดอยก็สามารถเริ่มสอนบางวิชาเป็นภาษาอังกฤษเหมือนกัน แต่อาจทำไม่ได้ในทันที ส่งผลให้แผนการที่ชัดเจนอย่างต่อเนื่องจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก
จะตั้งใจเรียนภาษาอังกฤษไปทำไม ในเมื่อไม่ต้องใช้สอบเข้ามหา’ลัยด้วยซ้ำ
‘Ha Anh Phuong’ คุณครูสอนภาษาอังกฤษที่โรงเรียนมัธยมปลายแห่งหนึ่งบนภูเขา เล่าว่า จากบริบทปัจจุบันของประเทศ การจะให้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง ต้องใช้เวลานาน
ในฐานะของคุณครูพื้นที่ห่างไกล Phuong รู้ดีว่า แค่การให้ภาษาอังกฤษเป็นวิชาเลือกในการสอบเพื่อเรียนจบชั้นมัธยมศึกษายังยากเลย และหลายๆ จังหวัด ไม่บังคับใช้ภาษาอังกฤษเป็นวิชาสอบเข้าด้วยซ้ำ
พอภาษาอังกฤษไม่ใช่วิชาที่ต้องสอบ แล้วสถาบันการศึกษา รวมถึงผู้เรียนจะแคร์ไปเพื่ออะไร?
ด้วยเหตุนี้ Phuong เลยอยากเสนอให้ หน่วยงานรัฐปรับสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ให้แข็งแกร่งขึ้น เปลี่ยนวิธีการสอน และนำภาษาอังกฤษมาใช้ในการสอบเข้าสถาบันต่างๆ
นอกจากนั้น Phuong เชื่อว่า ข้อสอบควรเน้นให้เด็กๆ ใช้ภาษาอังกฤษเป็น มากกว่าการโฟกัสแค่ความรู้ภาษาอังกฤษทั่วๆ ไป เพราะมันจะช่วยให้นักเรียนสามารถสื่อสารภาษานี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพในชีวิตจริง
ในแง่ของเด็กๆ ชาติพันธุ์ Phuong ก็มีทางออกมานำเสนอ คือต้องสอนให้พวกเขาแยกแยะภาษาต่างประเทศกับภาษาที่สองให้ออก โดยภาษาแม่คือภาษาแรกที่นักเรียนกลุ่มนี้สื่อสารเป็น ตามด้วยภาษาเวียดนาม และภาษาอังกฤษค่อยเข้ามาเสริม
Phuong ยังบอกอีกว่า สภาพแวดล้อมในการเรียนควรเปิดโอกาสให้นักเรียนได้เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมท้องถิ่นด้วย อย่างตัวเธอเองก็เคยคิดโปรเจกต์ให้เด็กๆ มาทำคอนเทนต์สองภาษาเพื่อช่วยโปรโมต ‘ชนเผ่ามวง’
สุดท้ายนี้ ต้องยอมรับว่า นโยบายการนำภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองของรัฐบาลเวียดนาม ถือเป็นกลยุทธ์ที่ดีในการยกระดับประเทศไปสู่สากล แต่ก็อย่างที่เล่าไป ปัญหายังมีอยู่มาก หากคุณครูและเจ้าหน้าที่รัฐทุกท่าน หวังดีกับเด็กได้เหมือนกับ Phuong ความสำเร็จคงอยู่ไม่ไกล
ประเทศไทยก็เช่นกัน
ที่มา: VNExpress, VietnamNet
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา