เวียดนามอนุมัติความตกลงเขตการค้าเสรีกับสหภาพยุโรป (EU-Vietnam Free Trade Agreement: EVFTA) โดยมีความคาดหวังว่าจะทำให้ประเทศกลายเป็นแหล่งลงทุนแห่งใหม่จากเหล่าประเทศที่ต้องการออกจากจีน ความตกลงดังกล่าวจะมีผลช่วงต้นเดือนสิงหาคม เวียดนามจะกลายเป็นชาติที่ 2 ของอาเซียนที่ได้ทำสนธิสัญญาทางการค้ากับกลุ่มประเทศยุโรปต่อจากสิงคโปร์
ความตกลงเขตการค้าเสรีระหว่างสหภาพยุโรป-เวียดนามดังกล่าว จะส่งผลให้เวียดนามสามารถส่งออกสินค้าปลอดภาษีไป EU ได้มากถึง 71% เป็นเวลา 10 ปี ขณะที่ EU ก็สามารถส่งออกสินค้าปลอดภาษีมายังเวียดนามได้เช่นกันในอัตรา 65% เป็นเวลามากกว่า 7 ปี
กระทรวงแผนงานและการลงทุนเวียดนาม คาดว่าความตกลงเขตการค้าเสรีนี้จะสร้างรายได้การส่งออกสินค้าไปยัง EU เพิ่มขึ้นถึง 42.7% ในปี 2025 และจะเพิ่มเป็น 44.37% ในปี 2030 World Bank คาดว่าความตกลงเขตการค้าเสรีจะช่วยทำให้ GDP เวียดนามเพิ่มขึ้น 2.4% และส่งออกเพิ่มขึ้น 12% ในปี 2030 ด้าน EU ก็คาดว่า GDP จะเติบโตขึ้น มูลค่า 2.95 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 9.26 แสนล้านบาทในปี 2035
อุตสาหกรรมสำคัญเวียดนามจะได้ประโยชน์จากการทำเขตการค้าเสรีกับ EU มีทั้งการผลิตสมาร์ทโฟน สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ รองเท้า สินค้าเกษตร อาทิ กาแฟ
ด้าน Tran Tuan Anh รัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้ากล่าวว่า ความตกลงดังกล่าวจะเร่งให้เวียดนามช่วยลดความยากจนได้เร็วขึ้น ขณะที่ Nguyen Thi Thu Trang แห่งหอการค้าและอุตสาหกรรมเวียดนามมองว่า ความตกลงดังกล่าวจะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจ และกิจกรรมด้านการส่งออกของเวียดนามหลังแย่ลงเพราะโควิด-19 ระบาดได้
การหารือระหว่าง EU และเวียดนามเริ่มขึ้นในเดือนมิถุนายน 2012 สิ้นสุดลงในเดือนธันวาคม 2015 ความเนิบช้าระหว่างการทำความตกลงเขตการค้าเสรีนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ต้องให้สัตยาบันระหว่างกัน (การลงนามในสนธิสัญญาระหว่างกัน) เวียดนามและ EU ทำการค้ากันมาเนิ่นนานแล้ว ช่วงสิ้นปี 2018 นักลงทุน EU ลงทุนในเวียดนามมากกว่า 2,133 โปรเจ็กต์ มูลค่ากว่า 2.39 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 7.5 แสนล้านบาท
การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในเวียดนาม 6 อันดับแรก ประกอบด้วย ญี่ปุ่น (ลงทุนมากที่สุด) ตามด้วยเกาหลีใต้ สิงคโปร์ จีน ฮ่องกง และ EU
ที่มา – Asian Nikkei Review, Vietnam Briefing
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา