Victoria’s Secret ประกาศผลประกอบการล่าสุดไม่ค่อยสู้ดีนัก ยอดขายสาขาเดิมลดลง 3% เตรียมวางแผนปิดสาขาอีก 53 แห่งในอเมริกาเหนือในปีนี้
ดูเหมือนพลังของบรรดานางแบบ หรือนางฟ้าของ Victoria’s Secret จะไม่ช่วยเท่าไหร่นัก เพราะเมื่อวันที่ 27 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา L Brands บริษัทแม่ของ Victoria’s Secret ได้รายงานผลประกอบการในไตรมาสที่ 4 พบว่ายอดขายสาขาเดิมลดลง 3% รวมถึงรายได้เฉลี่ยทั้งปีก็ลดลง 3% เช่นกัน
แบรนด์กำลังประสบปัญหายอดขายลดลงในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดนแบรนด์อื่นตีตลาด อีกทั้งยังมีกระแสของแคมเปญ #MeToo ที่ต่อต้านการคุกคามทางเพศอีกด้วย ซึ่งทำให้แบรนด์ได้รับผลกระทบจากแคมเปญนี้เช่นกัน
พร้อมกันนี้ได้ประกาศว่าจะปิดสาขาในอเมริกาเหนือ 53 แห่ง ให้เหตุผลว่ามีประสิทธิภาพที่ลดลง
แต่เดิม Victoria’s Secret เป็นแบรนด์ขวัญใจสาวๆ ทั่วโลก เพราะมีเหล่านางแบบ และนางฟ้าที่เป็นแรงบันดาลใจให้มีหุ่นสวยๆ พร้อมแฟชั่นโชว์สุดอลังการในทุกๆ ปี
แต่ต้องบอกว่าในช่วงหลายปีให้หลังมานี้ความนิยมของแฟชั่นโชว์ของ Victoria’s Secret มีความลดลงอย่างมาก แบรนด์ได้ถูกวิพากย์วิจารณ์ในเรื่องการคุกคามทางเพศ การนำเอานางแบบมาเดินโชว์ชุดชั้นใน ยิ่งในช่วงปีที่ผ่านมามีกระแสของ #MeToo ในการต่อต้านการคุกคามทางเพศอีกด้วย
อีกทั้งยังมีจุดเริ่มต้นของเรื่องราวดราม่าใหญ่โตเมื่อ Ed Razek ผู้บริหารฝ่ายการตลาดของแบรนด์ได้ให้สัมภาษณ์กับทาง Vogue ไว้ว่า ไม่คิดว่างานแฟชั่นโชว์ประจำปีของ Victoria’s Secret จะต้องมีบุคคลข้ามเพศในโชว์ เพราะโชว์นี้มีความแฟนตาซีมาก มันเป็นความบันเทิงสุดพิเศษ และหลังจากนั้นเขาได้ออกมาขอโทษ
สำหรับเรตติ้งของแฟชั่นโชว์ของ Victoria’s Secret ก็ได้รับความนิยมลดลงเรื่อยๆ ในปีที่ผ่านมามีผู้ชมเพียง 3.3 ล้านคน ที่ออกอากาศเมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2018 ลดลงจาก 5 ล้านคนในปี 2017 และ 6.7 ล้านคนในปี 2016
นอกจากปัจจัยเรื่องยอดขาย และกระแส #MeToo แล้ว เรื่องการแข่งขันในตลาดก็ส่งผลกระทบเช่นกัน แบรนด์คู่แข่งอย่าง Aerie และ ThirdLove เริ่มเบียดเข้ามา และมีส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ
โดยที่ Aerie มียอดขายจากสาขาเดิมเพิ่มขึ้น 32% ในไตรมาสที่ 3 และเป็นการเติบโตด้วยตัวเลข 2 หลักมาตลอด 16 ไตรมาสแล้วด้วย
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา