เคยแข่งกับกับเกาหลี เคยแข่งกับมาเลเซีย แต่ตอนนี้ไทยกำลังแข่งกับ ‘เวียดนาม’ ?
ในช่วง 4-5 ปีให้หลัง “เวียดนามจะแซงไทย” เป็นหนึ่งในประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาบอกเล่าผ่านสื่ออยู่เป็นระยะ โดยเฉพาะเมื่อสถานการณ์เศรษฐกิจไทยไม่เป็นอย่างที่ใครหลายคนคาดหวัง แต่จริงๆ แล้วสถานการณ์ไทยกับเวียดนามตอนนี้เป็นยังไง
Brand Inside สรุปเนื้อหาจากโพสต์ของ ‘วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร’ นักเศรษฐศาสตร์และหนึ่งในทีมเศรษฐกิจของพรรคประชาชนมาให้อ่านกัน
1) เริ่มแรก ‘วีระยุทธ’ ยืนยันว่า เวียดนามยังตามหลังไทยในด้าน ‘ขนาดเศรษฐกิจ’ และ ‘รายได้ประชากรต่อหัว’ คนเวียดนามมีรายได้เฉลี่ย 4,990 ดอลลาร์ต่อปี ขณะที่คนไทยมีรายได้เฉลี่ย 7,120 ดอลลาร์ต่อปี สูงกว่าเกือบ 2 เท่าตัว
2) ขณะเดียวกันเวียดนามยังมี ‘จุดอ่อน’ อีกหลายด้าน โดยเฉพาะ ‘การพึ่งพาตลาดส่งออก’ และ ‘บริษัทข้ามชาติ’ สูงมาก จนทำให้ต้องยอมแลกทุกอย่างให้สหรัฐอเมริกาลดภาษีนำเข้า ส่วนกิจการในประเทศยังพัฒนาขีดความสามารถในการแข่งขันไม่ได้มาก แม้ ‘รัฐวิสาหกิจ’ และ ‘กลุ่มทุน’ จะได้รับการปกป้องจากรัฐ
3) แต่จุดเปลี่ยนสำคัญคือ “เวียดนามกล้ายอมรับความจริง” รวมไปถึง “กล้าตัดสินใจเรื่องยากๆ” อย่างการปฏิรูประบบราชการ ลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และเร่งพัฒนาคน เพราะเวียดนามอยากจะเป็น ‘ประเทศรายได้สูง’ ในอีก 20 ปีข้างหน้า
4) ปีนี้จึงเดินหน้าปฏิรูประบบราชการครั้งใหญ่ ปรับโครงสร้างกรม-กอง-กระทรวง-หน่วยงานท้องถิ่น ไปจนถึงพรรคคอมมิวนิสต์ เลือกลดคนตอนเศรษฐกิจเฟื่องฟูและเอกชนต้องการคนทำงาน และเดือนที่ผ่านมายังเล่นใหญ่ประกาศลงทุนใหญ่ 250 โครงการมูลค่า 10% ของ GDP พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานอย่างถนน สนามบิน อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ โรงไฟฟ้าพลังงานสะอาด โรงพยาบาลเฉพาะทาง
5) นอกจากนั้น เวียดนามยังรู้จุดอ่อนว่าตัวเองพึ่งพาเศรษฐกิจภายนอกมากเกินไป จึงตั้งใจจะพัฒนาศักยภาพตลาดภายในประเทศในอีก 5-10 ปีข้างหน้า ดึงเอกชนมาร่วมลงทุนโครงการใหม่ๆ อย่างสมาร์ทซิตี้ และถ้าเศรษฐกิจเวียดนามสามารถเติบโตปีละ 7% แบบนี้ไปเรื่อยๆ ไม่ต้องรอครบ 20 ปี แต่อีก 15 ปีเวียดนามจะกลายเป็นประเทศรายได้สูง
6) การพัฒนาคน = หัวใจของความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นเกาหลี ไต้หวัน หรือสิงคโปร์ นโยบายเศรษฐกิจสวยหรูก็ผลิดอกออกผล เพราะ “คนพร้อม” ถึงตอนนี้เวียดนามจะมีแรงงานจบระดับอาชีวะหรือปริญญาตรีแค่ 13% (ไทยมี 21%) แต่เวียดนามก็ฝันใหญ่ทำจริง ตั้งเป้าผลิตคนด้านเซมิคอนดักเตอร์ 5 หมื่นคนใน 5 ปีข้างหน้า และอบรมครูกว่า 1,300 คน เพื่อสอนในศูนย์วิจัยและมหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ด้วยการร่วมกับบริษัทเอกชนชั้นนำของโลก
7) วีระยุทธ ฉายภาพในส่วนของเราเองว่า “ประเทศไทยไม่ได้ขาดงบประมาณ” แต่ละปีมีงบพัฒนาคนหลายหมื่นล้านบาท เรียกว่า “ไม่แพ้เวียดนาม” แต่ปัญหาคือไม่ค่อยมีใครมาดูรายละเอียดการใช้งบประมาณเลย
นักเศรษฐศาสตร์ยกตัวอย่าง ‘งบปี 69’ ที่ไทยตั้งเป้าพัฒนาทักษะแรงงาน 9 แสนคน (สูงกว่าของเวียดนาม) แต่ฝากความหวังไว้กับโครงการ ‘โครงการจัดหาระบบแฟ้มสะสมทักษะรายบุคคลระดับอุดมศึกษา’ ใช้งบรวม 5,400 ล้านบาท
ความน่าสนใจคือ แม้โครงการจะมีวัตถุประสงค์เน้นจัดเก็บ บูรณาการ และแสดงข้อมูลทักษะการเรียนรู้ของบุคคลของนักศึกษาในระดับปริญญาตรีกว่า 1.6 ล้านคน แต่โครงการจะทำคลิปวิดีโอเน้น ‘การช่วยให้รู้จักและเข้าใจตนเอง อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้’ จำนวน 447 คลิป ความยาวคลิปละ 15 นาที
จนทำให้ ‘วีระยุทธ’ ตั้งคำถามว่า ไทยจะฝากความหวังในการแก้ปัญหาวิกฤตทรัพยากรมนุษย์และทักษะแรงงานไทยไว้กับโครงการนี้แค่ไหน ในเมื่อระบบเดิมที่มีอย่าง Thai-MOOC ก็ทำได้ดีอยู่แล้ว ยิ่งกว่านั้นคือ อาจไม่ใช่ทุกทักษะที่ยกระดับกันได้ผ่าน ‘ระบบออนไลน์’ โดยเฉพาะภาคการผลิตที่กำลังสาหัส
8) สุดท้ายวีระยุทธยกบทเรียนในอดีตอย่าง ‘คนไทยเคยรวยกว่าคนเกาหลีใต้’ จนกระทั่งถึงปี 2511 จนนำมาสู่การศึกษาของวงการเศรษฐศาสตร์ทั่วโลกว่าอะไรเป็นจุดเปลี่ยน พอมาถึงศตวรรษที่ 21 เวียดนามก็จะกลายเป็นกรณีศึกษาว่า ‘ผู้มาทีหลัง’ ทำอย่างไรและได้ผลแบบไหน
“ถ้าเรากลัวเวียดนามจะแซงจริงๆ ก็ต้องจริงจังกับการพัฒนาคน พัฒนาทักษะกันมากกว่านี้ ต้องเปลี่ยนจากการพูดคุยระดับวิสัยทัศน์ มาให้ถึงรายละเอียดระดับโครงการ ว่าควรออกแบบประสานระหว่างรัฐกับเอกชนอย่างไรในแต่ละอุตสาหกรรม จัดสรรงบประมาณอย่างไรให้เหมาะสม ถ้าจะแปลงเงินภาษีให้กลายเป็นอนาคตประเทศได้ มีแต่ต้องเปลี่ยนวิธีการใช้งบและวิธีกำหนด KPI ของกลไกราชการเท่านั้น”
แล้วคุณล่ะมองการแข่งขันของไทยและเวียดนามในศตวรรษนี้ยังไง และคิดว่าไทยต้องทำอะไรอีกบ้าง เพื่อให้สามารถสร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ นำคนไทยไปสู่ประเทศรายได้สูงได้ในอนาคต
อ่านเนื้อหาเต็มๆ ในโพสต์ของวีระยุทธใน Facebook
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา