ในโลกที่เทคโนโลยีกำหนดอนาคตประเทศ ‘แรร์เอิร์ธ’ หรือ ‘ธาตุหายาก’ กลายเป็นอาวุธใหม่ของสงครามเศรษฐกิจระหว่างมหาอำนาจ ใครคุมได้ ก็เหมือนคุมเส้นเลือดใหญ่ของอุตสาหกรรมโลก ตั้งแต่ชิปในสมาร์ทโฟน ไปจนถึงระบบอาวุธไฮเทค
ล่าสุด ประธานาธิบดี ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ จับมือกับนายกรัฐมนตรีออสเตรเลีย ‘แอนโทนี อัลบานีส’ ลงนามข้อตกลงร่วมลงทุนและพัฒนา ‘แร่หายาก’ และ ‘แร่สำคัญทางยุทธศาสตร์’ (critical minerals) มูลค่ากว่า 8.5 พันล้านดอลลาร์ฯ หรือราว 3.1 แสนล้านบาท เพื่อสร้างซัพพลายเชนใหม่ที่ลดการพึ่งพาจีน ซึ่งตอนนี้ยังครองตลาดโลกด้านการแปรรูปแร่เหล่านี้แทบทั้งหมด
ทั้งสองประเทศจะร่วมกันลงทุนเบื้องต้นราว 2 พันล้านดอลลาร์ฯ ภายใน 6 เดือนข้างหน้า เพื่อพัฒนาเหมือง และโรงงานแปรรูป โดยหนึ่งในโครงการสำคัญคือโรงงานผลิตแกลเลียม ในรัฐเวสเทิร์นออสเตรเลีย ที่จะมีศักยภาพผลิตวัตถุดิบสำคัญสำหรับอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ระดับโลก
‘แกลเลียม’ เป็นแร่ที่ใช้ในการผลิตชิปพลังงานสูง และระบบอิเล็กทรอนิกส์ทางทหาร ซึ่งก่อนหน้านี้ จีนเคยประกาศควบคุมการส่งออก ทำให้ชาติตะวันตกเร่งหาทางสร้างแหล่งผลิตใหม่ เพื่อความมั่นคงทางเทคโนโลยี
ข้อตกลงครั้งนี้ไม่ใช่แค่เรื่องเศรษฐกิจ แต่ยังสะท้อนเกมยุทธศาสตร์ระหว่างมหาอำนาจอย่างชัดเจน เพราะจีนถือครองส่วนแบ่งกว่า 80% ของตลาดแร่หายากโลก โดยเฉพาะในกระบวนการแปรรูปและกลั่น ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสมัยใหม่ ตั้งแต่แบตเตอรี่รถ EV ไปจนถึงระบบอาวุธป้องกันประเทศ
การที่สหรัฐฯ และออสเตรเลียหันมาร่วมกันสร้างระบบซัพพลายเชนของตนเอง จึงถือเป็นก้าวสำคัญในการตัดวงจรการพึ่งพา และเพิ่มอำนาจต่อรองในสนามการค้าโลก
เจ้าหน้าที่จากทำเนียบขาวให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า สหรัฐฯ ต้องการซัพพลายเชนที่ปลอดภัยและโปร่งใส ไม่ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของประเทศใดประเทศหนึ่ง
จีนออกมาตอบโต้แล้ว
ด้าน ‘จีน’ ก็ออกมาแสดงท่าทีอย่างรวดเร็ว โดยกระทรวงการต่างประเทศของจีนระบุว่า ประเทศที่มีทรัพยากรแร่หายากควรมี ‘บทบาทเชิงรุก’ ในการรักษาเสถียรภาพของซัพพลายเชนแร่สำคัญของโลก
โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ‘กัว เจียคุน’ ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า การก่อตัวของซัพพลายเชนการผลิต และซัพพลายเชนทั่วโลก เป็นผลจากกลไกตลาด และการตัดสินใจของภาคเอกชน
เขาเสริมว่า ประเทศที่อุดมไปด้วยทรัพยากรเหล่านี้ ควรมีบทบาทในการรักษาความมั่นคง และเสถียรภาพของอุตสาหกรรม พร้อมทั้งดำเนินความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และการค้าอย่างปกติ
ความเห็นดังกล่าวมีขึ้นหลังจากจีนเพิ่งประกาศเข้มงวดการส่งออกแร่หายากและเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง โดยให้เหตุผลว่าต้องป้องกันการนำไปใช้ในทางที่ผิด โดยเฉพาะในด้านการทหาร และภาคส่วนอ่อนไหวอื่นๆ
อุตสาหกรรมยานยนต์ในโลกตะวันตกหลายแห่ง แสดงความกังวลต่อมาตรการนี้ โดยมองว่าอาจทำให้เกิดความปั่นป่วนในซัพพลายเชน ขณะที่ความต้องการแร่หายาก และแร่สำคัญทางยุทธศาสตร์คาดว่าจะพุ่งสูงขึ้นอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีข้างหน้า ท่ามกลางการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาด
ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับตะวันตก
แม้ตัวเลขการลงทุนจะดูใหญ่ แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่าโครงการส่วนใหญ่ยังอยู่ในระยะวางแผน และต้องใช้เวลาหลายปีกว่าจะผลิตเชิงพาณิชย์ได้จริง ทั้งในด้านการอนุมัติสิ่งแวดล้อม การสร้างโครงสร้างพื้นฐาน และการฝึกแรงงานเฉพาะทาง
ปัจจุบัน จีนยังคงเป็นผู้นำที่ไร้คู่แข่งในตลาดแร่หายาก ครองส่วนแบ่งการผลิตและการกลั่นราว 60% ของโลก ซึ่งถือเป็นความท้าทายเชิงยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ และพันธมิตร ท่ามกลางยุคที่ทรัพยากรแร่กำลังกลายเป็น ‘ขุมพลังใหม่’ ของเศรษฐกิจโลกยุคถัดไป
อีกทั้งออสเตรเลียเองยังคงมีความสัมพันธ์ทางการค้ากับจีนในหลายอุตสาหกรรม ทำให้การปรับสมดุลทางเศรษฐกิจต้องค่อยเป็นค่อยไป
การลงทุนของสหรัฐฯ และออสเตรเลียในครั้งนี้สะท้อนเทรนด์ที่ชัดเจนว่า ‘ทรัพยากรแร่’ กลายเป็นจุดยุทธศาสตร์ใหม่ของเศรษฐกิจโลกยุค AI และพลังงานสะอาด เพราะแร่เหล่านี้ คือหัวใจของเทคโนโลยีสมัยใหม่ ตั้งแต่แบตเตอรี่ ลำโพง มอเตอร์แม่เหล็ก ไปจนถึงจรวดและดาวเทียม
เมื่อซัพพลายเชนของโลกเปลี่ยน ประเทศที่มีแหล่งทรัพยากร หรือมีศักยภาพด้านแปรรูปแร่ ย่อมกลายเป็นผู้เล่นสำคัญในเศรษฐกิจโลกใหม่ทันที
ดีลแร่หายากระหว่างสหรัฐฯ และออสเตรเลีย จึงไม่ใช่แค่ความร่วมมือทางเศรษฐกิจ แต่คือการวางหมากใหม่ในศึกเทคโนโลยีโลก ที่ทั้งสองประเทศต้องการลดอิทธิพลของจีนในห่วงโซ่อุปทานระดับโลก
แม้ผลลัพธ์อาจต้องใช้เวลาอีกหลายปี แต่สัญญาณนี้ชัดเจนว่า ‘เกมทรัพยากร’ กำลังกลายเป็นสมรภูมิสำคัญของโลกยุคใหม่
- จีนส่งออกแรร์เอิร์ธไปสหรัฐฯ พุ่ง 660% ภายในเดือนเดียว หลังทั้งสองผ่อนปรนข้อตกลงการค้าเบื้องต้น
- ค่ายรถยนต์ทั่วโลกแตกตื่น เมื่อจีนมีแผนคุมเข้มการส่งออก ‘แรร์เอิร์ธ’
ที่มา: Bloomberg, AP News, Reuters, CNBC
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา