กลุ่มธนาคารยูโอบีประกาศผลกำไรสุทธิ 9 เดือนแรกปี 2566 พบว่า มีกำไรหลักสุทธิอยู่ที่ 4,600 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ เติบโต 33% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) เนื่องจากรายได้จากดอกเบี้ยรับสุทธิและรายได้จากการค้าและการลงทุนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งหากนับรวมค่าใช้จ่ายครั้งเดียวในการควบรวมกิจการ Citi Group กำไรสุทธิจะอยู่ที่ 4,300 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์
ทั้งนี้ รายได้จากดอกเบี้ยรับสุทธิ อยู่ที่ 7,300 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ เพิ่มสูงขึ้น 26%YoY จากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น 38 จุด มาสู่ระดับ 2.12% จากอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น
ด้านรายได้จากค่าธรรมเนียมสุทธิอยู่ที่ 1,700 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ส่วนค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตอยู่ที่ 257 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ ขณะที่รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้นเท่าตัวอยู่ที่ 1,600 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์
ส่วนค่าใช้จ่ายหลักรวมอยู่ที่ 4,300 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 20% มาจากการใช้สนับสนุนโครงการริเริ่มเชิงยุทธศาสตร์ แต่เนื่องจากรายได้เติบโตขึ้นสูงกว่า จึงส่งผลให้อัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญที่ 2.7 จุด อยู่ที่ 40.9%
ขณะที่ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3 ปี 2566 ได้แก่
- กำไรสุทธิอยู่ที่ 1,500 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์ เพิ่มขึ้น 5% เมื่อเทียบกับปีก่อน
- รายได้จากค่าธรรมเนียมสุทธิ อยู่ที่ 591 ล้านดอลลาร์สิงคโปร์เพิ่มขึ้น 14% เมื่อเทียบกับปีก่อน
- ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิขยายตัว 14 จุด ส่งผลให้รายได้จากดอกเบี้ยสุทธิปรับตัวดีขึ้น 9% เมื่อเทียบกับปีก่อน (หากเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสุทธิลดลงเนื่องจากธนาคารแปลงสภาพคล่องส่วนเกินเป็นสินทรัพย์คุณภาพสูงแต่ได้รับผลตอบแทนที่ต่ำลง)
- รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น 1% เมื่อเทียบกับปีก่อน
- รายได้จากการบริหารตลาดเงินที่เกี่ยวกับลูกค้าปรับตัวดีขึ้น 9% เมื่อเทียบกันไตรมาสก่อน
- อัตราส่วนสินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) คงที่ที่ 1.6%
- อัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่หนึ่งที่เป็นส่วนของเจ้าของที่ 13.0%
อย่างไรก็ตามการรวมกิจการลูกค้ารายย่อยจากซิตี้กรุ๊ปยังคงดำเนินไปตามแผน การรวมกิจการในอินโดนีเซีย ไทย และเวียดนามเดินหน้าตามแผนที่กำหนดไว้ หลังจากที่เราประสบความสำเร็จในการถ่ายโอนลูกค้าของซิตี้กรุ๊ปทั้งหมดในมาเลเซียสู่แพลตฟอร์มของธนาคาร
ทั้งนี้ ธนาคารมีการเงินกันสำรองรวมปรับเพิ่มขึ้นจากปีก่อน เนื่องจากเงินกันสำรองแบบเฉพาะรายเพิ่มสูงขึ้นจากบัญชีลูกค้าบริษัทธุรกิจขนาดใหญ่ที่ไม่เป็นระบบบางราย รวมถึงมีการกันเงินสำรองทั่วไปเชิงรุก โดยรักษาระดับเงินกันสำรองทั่วไปต่อเงินให้สินเชื่อ โดยมีเงินกันสำรองรวมสำหรับสินเชื่อคุณภาพดีอยู่ที่ 0.9% และมีอัตราส่วนค่าเผื่อหนี้สงสัยจะสูญต่อสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ปรับตัวขึ้นที่ 102% หรือ 205% (กรณีนับรวมหลักประกัน)
ด้านอัตราส่วนการดำรงสินทรัพย์สภาพคล่องในทุกสกุลเงินเฉลี่ย (LCR) อยู่ที่ 153% และอัตราส่วนการดำรงแหล่งที่มาของเงินให้สอดคล้องกับการใช้ไปของเงิน (NSFR) 121% ตามลำดับ
ส่วนอัตราส่วนเงินกองทุนชั้นที่หนึ่งที่เป็นส่วนของเจ้าของ (CET1) ปรับลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 13.0 จุดจากการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลปี 2566 แต่ยังสูงกว่าเกณฑ์กำหนดขั้นต่ำ
ที่มา ธนาคารยูโอบี
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา