ถือเป็นการขยับตัวที่น่าสนใจของ Unilever บริษัทด้านสินค้าอุปโภคบริโภครายใหญ่ของโลก ประกาศซื้อธุรกิจสตาร์ตอัพ Dollar Shave Club โดยไม่เปิดเผยมูลค่า
Dollar Shave Club เป็นธุรกิจที่ขายมีดโกนหนวดแบบจ่ายรายเดือน โดยลูกค้าที่สมัครสมาชิกจะต้องจ่ายเงินเดือนละ 1 ดอลลาร์ แล้วบริษัทจะส่งใบมีดโกนคุณภาพสูงใหม่ให้ทางไปรษณีย์เป็นประจำทุกเดือน
แนวคิดของ Dollar Shave Club ต้องการแก้ปัญหาของคุณสุภาพบุรุษ ที่ต้องเปลี่ยนใบมีดโกนหนวดบ่อยๆ แต่ก็รำคาญที่ต้องออกไปซื้อใบมีดโกนใหม่เป็นประจำ อีกทั้งใบมีดในท้องตลาดก็มีเฉพาะใบมีดราคาถูกคุณภาพต่ำ และใบมีดที่ดีขึ้นมาหน่อย แต่ราคาแพงเกินไป มาพร้อมกับความสามารถเวอร์วังที่ไม่ค่อยได้ใช้งานจริงนัก
ใบมีดของ Dollar Shave Club มีให้เลือก 3 ระดับราคา (ถูกที่สุด 1 ดอลลาร์ต่อเดือน) ไม่มีเงื่อนไขขั้นต่ำว่าต้องเป็นสมาชิกนานเท่าไร ยกเลิกเมื่อไรก็ได้ และถ้าใช้ใบมีดไม่บ่อย จะกำหนดความถี่ให้ส่งใบมีดให้ตามระยะเวลาที่ต้องการก็ได้เช่นกัน
Dollar Shave Club ก่อตั้งในปี 2012 ปัจจุบันมีลูกค้าเป็นสมาชิกถึง 3.2 ล้านราย มีรายได้ในปี 2015 ถึง 152 ล้านดอลลาร์ และคาดว่าจะมีรายได้เกิน 200 ล้านดอลลาร์ในปี 2016 นี้
รูปแบบของธุรกิจ Dollar Shave Club เป็นแนวเดียวกับธุรกิจแนว subscription สมัครเป็นสมาชิกเพื่อรับสินค้าเป็นประจำ (อีกตัวอย่างที่คนพูดกันบ่อยๆ คือ Birchbox ที่จัดส่งเครื่องสำอางตัวอย่างให้สุภาพสตรี) ตัวผลิตภัณฑ์หลักอย่างใบมีดโกนอาจไม่ทำกำไรมากนัก แต่ช่วยสร้างฐานลูกค้าจำนวนมาก เพื่อให้บริษัทสามารถต่อยอดไปขายผลิตภัณฑ์อื่นๆ เช่น ครีมโกนหนวด โฟมล้างหน้า ฯลฯ ได้ ซึ่งกรณีของ Dollar Shave Club ก็มุ่งเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางผู้ชาย (men grooming) นั่นเอง
ถ้าให้วิเคราะห์การซื้อกิจการของ Unilever ก็เห็นชัดเจนว่า Unilever เริ่มมองหาช่องทางใหม่ๆ ในการจัดจำหน่ายสินค้าของตัวเอง นอกเหนือไปจากการกระจายผ่านร้านค้าปลีกแบบเดิมๆ ก็เพิ่มช่องทางการขายผ่านอีคอมเมิร์ซไปยังลูกค้าโดยตรง (direct-to-customer) แถมการขายสินค้าแบบสมัครสมาชิก ที่สามารถวางแผนสต๊อกสินค้าล่วงหน้าได้ง่ายขึ้น
ด้าน Michael Dubin ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Dollar Shave Club ก็ระบุว่าเขาภูมิใจมากที่บริษัทสินค้าเพื่อผู้บริโภครายใหญ่ที่สุดของโลกให้ความสนใจซื้อกิจการ และจะดำเนินธุรกิจต่อไปตามแนวทางเดิม
ข้อมูลจาก Unilever
วิดีโอแนะนำตัวของ Dollar Shave Club
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา