ยูเนสโกบอก “Selfie Tourism” กำลังทำลายแลนด์มาร์คที่สวยและสำคัญของโลก

Selfie Tourism กำลังสร้างปัญหา

สำหรับคนที่รักการท่องเที่ยวและประทับใจในสถานที่นั้น วัฒนธรรมนั้น หรือภาพ หรือโมเมนท์ตรงหน้าจนอยากเก็บไว้เป็นที่ระลึกว่าครั้งหนึ่งเราเคยมีช่วงเวลาสำคัญแบบนี้ในชีวิตนะ ล้วนต้องยกโทรศัพท์ ไม่ก็กล้องขึ้นมาถ่ายภาพเก็บไว้กันทั้งนั้น แต่พอดีว่า อาการแบบนี้มันไม่ใช่คุณคนเดียวนะสิ คนไปเที่ยวนับพัน นับหมื่นราย ใครๆ ก็ยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปกันทั้งนั้น

Selfie Tourism

Selfie Tourism หรือเทรนด์การท่องเที่ยวแบบถ่ายรูปตัวเองด้วยตัวเองกำลังปกคลุมสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญหลายแห่ง

มันไม่ใช่แค่การเอาตัวเองเข้าไปอยู่ร่วมซีนแห่งประวัติศาสตร์หรือซีนแห่งวัฒนธรรมท้องถิ่นที่น่าสนใจด้วยตัวเองเปล่าๆ เท่านั้น แต่เป็นการเก็บภาพถ่ายทั้งเพื่อไว้เป็นที่ระลึก ทั้งเพื่อโพสต์ลงโซเชียลมีเดียแพลตฟอร์มทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็น IG, Facebook, TikTok แหล่งเผยแพร่เรื่องราวแห่งความทรงจำได้ เหล่านี้ UNESCO มองว่ากำลังสร้างปัญหา?

UNESCO ระบุว่า การไปเที่ยวยุคนี้ และการถ่ายภาพ แชร์ภาพตัวเองลงบนโซเชียลมีเดียโดยมีสถานที่สำคัญของโลกเป็นภาพแบคกราวด์นั้นกำลังเป็นโรคระบาด (ใครๆ ก็ทำกัน)

สาเหตุสำคัญก็มาจากโซเชียลมีเดียนี่เอง ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแนวทางในการท่องเที่ยวนี้ โดย UNESCO เตือนว่า Selfie Tourism (การท่องเที่ยวแบบเซลฟี่) กำลังส่งผลเสียอย่างร้ายแรงต่อสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญของโลก มีหลายกรณี ที่การท่องเที่ยวแบบนี้ ทำให้สถานที่ที่เป็นแลนด์มาร์คสำคัญหนาแน่นไปด้วยผู้คน ส่งผลให้โครงสร้างพื้นฐานท้องถิ่นได้รับความกดดัน และส่งผลให้กระทบต่อประสบการณ์ในการท่องเที่ยวของผู้มาเยือนลดลง

การท่องเที่ยวแบบเซลฟี่ที่กำลังเป็นที่นิยมอยู่นี้ ทำให้สถานที่ท่องเที่ยวที่สวยงาม แต่คนรู้จักน้อย เปรียบเสมือน Hidden Gems กลายเป็นแหล่งที่มีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้าไป ตัวอย่างจากเมือง Hallstatt ประเทศออสเตรีย ที่เชื่อกันว่าเป็นแรงบันดาลใจให้กับภาพยนตร์ Frozen จากดิสนีย์ มีนักท่องเที่ยวพากันมาถ่ายเซลฟี่เพื่อเอาวิวภูเขาที่งดงามเป็นฉากหลังทุกปี ปีละเป็นล้านคน

กระแสท่องเที่ยวแบบเซลฟี่ เอาเข้าจริงแล้วอาจรวมกับความอัดอั้นที่ผู้คนไม่ได้เที่ยวช่วงโควิดมารวมอยู่ด้วย ทำให้ผู้คนหลั่งไหลจนเมืองท่องเที่ยวต้องสร้างรั้วกั้นเพื่อกันจุดถ่ายภาพที่กำลังได้รับความนิยม ซึ่ง Alexander Scheutz นายกเทศมนตรีเมืองกล่าวกับสื่อมวลชนในออสเตรียว่า ชาวบ้านที่อาศัยอยู่ในเมืองนี้ อยากอยู่ลำพังแล้ว นักท่องเที่ยวพากันมารุมถ่ายรูป จอแจจนวุ่นวายเหมือนที่ Sagrada Família บาร์เซโลนาก็เจอแบบเดียวกันนี้ คนท้องถิ่นกำลังเหม็นเบื่อกับนักท่องเที่ยวที่มีอยู่เต็มไปหมด

เรียกได้ว่าวัฒนธรรมเซลฟี่กำลังสร้างความรำคาญให้กับคนท้องถิ่น เหมือนที่เราเคยได้ยินข่าวคนญี่ปุ่นรำคาญนักท่องเที่ยวคนไทย หรือคนไทยรำคาญนักท่องเที่ยวจีนนั่นแหละ แม้จะมีเม็ดเงินหลั่งไหลเข้าประเทศ แต่ถ้ามันเกินขีดจำกัด ก็สร้างความรำคาญให้คนในพื้นที่ได้

นอกจากความรำคาญที่มีต่อผู้คนแล้ว มันยังสร้างความเสี่ยงให้กับพื้นที่ทางวัฒนธรรม พื้นที่ทางประวัติศาสตร์ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญด้วย ตัวอย่างเช่น เรือกอนโดลาในคลองของเมืองเวนิสที่พลิกคว่ำเพราะนักท่องเที่ยวที่มาจากจีนไม่ยอมยุดถ่ายรูป แม้จะถูกแจ้งเตือนแล้วก็ตาม

แม้สถานที่ดังกล่าวจะเริ่มมีคำสั่งห้ามหลายเรื่องด้วยกัน ทั้งคำสั่งแบนเรือขนาดใหญ่เพื่อป้องกันจำนวนนักท่องเที่ยวที่อัดแน่นมากเกินไป ไปจนถึงการจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยว เวนิสก็ยังเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยวจำนวนมาก

แน่นอนว่า แหล่งท่องเที่ยวที่คนชอบไปที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ไม่ได้หมายถึงที่ฮอดๆ ที่คนชอบไปเท่านั้น แต่ยังรวมถึงสถานที่ที่คนไม่ค่อยรู้จัก ไปจนถึงพื้นที่ในชนบทที่นักท่องเที่ยวไปเยือน เช่น Abruzzo ในอิตาลี ก็ต้องพบเจอกับนักท่องเที่ยวที่ชอบเที่ยวไป เซลฟี่ไปเช่นกัน

ที่ Abruzzo นี้ตั้งอยู่ทางตอนใต้ของอิตาลี เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่คนไปล่าเห็ดทรัฟเฟิลกัน แต่บรรยากาศดังกล่าวก็ถูกรบกวนจากเหล่านักท่องเที่ยวที่เอาแต่ถ่ายรูปมากกว่าจะซึมซับประสบการณ์ตรงหน้า ข้อมูลจากเว็บไซต์ lifeinaabruzzo ระบุไว้ว่า เห็ดทรัฟเฟิลในอิตาลีราว 40% ก็มาจาก Abruzzo นี่แหละ และพื้นที่แห่งนี้ก็ติดอันดับ Top 10 สำหรับสถานที่ที่น่ามาเยือนด้วย

อย่างไรก็ดี ไม่ใช่แค่การจำกัดจำนวนคนเที่ยวต่อวัน หรือจำกัดเรือขนาดใหญ่เกินไปเข้าสู่แหล่งท่องเที่ยวเท่านั้น ที่ Portofino อิตาลี เองก็เริ่มมีการเรียกค่าปรับสำหรับนักท่องเที่ยวที่สร้างความวุ่นวาย รวมตัวกันหนาแน่น ณ จุดใด จุดหนึ่งเพื่อถ่ายรูปเซลฟี่ จนทำให้การจราจรติดขัดจะต้องเสียค่าปรับ 300 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 10,000 บาทด้วย 

ที่มา – Fast Company, Life in Abruzzo, NDTV

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา