Brand Inside รวบรวมสิ่งที่เกิดขึ้นกับ Uber บริษัทเรียกรถรายใหญ่ของโลกหลังจาก IPO ไป 1 วันกับ 3 เรื่องที่คุณต้องรู้กับความท้าทายของบริษัทเช่น ราคาหุ้นที่ตกต้อนรับวันแรก สภาวะตลาดที่อาจแย่หลังจากนี้ รวมไปถึงความเสี่ยงที่จะโดนฟ้อง
หลังจาก Uber ได้เข้า IPO ในตลาดหลักทรัพย์นิวยอร์กเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาและคาดว่าจะเป็นบริษัทที่มีมูลค่าการระดมทุนมากที่สุดในปีนี้ โดยระดมทุนถึง 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยมีราคาเสนอขายหุ้นสุดท้ายคือ 45 เหรียญสหรัฐ แต่การเปิดตัวในวันแรกของบริษัทราคาหุ้นได้ลดลงไป 7.62% มูลค่าตลาดเหลือเพียงแค่ 69,700 ล้านเหรียญสหรัฐ จากก่อนหน้านี้มีมูลค่าสูงถึง 82,400 ล้านเหรียญสหรัฐ
3 เรื่องที่คุณต้องรู้หลังจาก Uber เข้าตลาดหลักทรัพย์ไปแล้ว
มูลค่าบริษัทหลังจากนี้
โดยก่อนที่บริษัทจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ คาดว่ามูลค่าบริษัทจะมีมูลค่าสูงสุดถึง 120,000 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่หลังจากเข้าตลาดหลักทรัพย์แล้วมูลค่าบริษัทก็ยังลดลงเรื่อยๆ อย่างที่กล่าวไปข้างต้น
คำถามหลังจากนี้คือ Valuation ของกลุ่มบริการเรียกรถจะต้องมีมูลค่าเท่าไหร่ในตอนนี้ ขณะที่บริษัทยังขาดทุนจากการดำเนินงาน แม้ Uber งบปี 2018 ที่ผ่านมาจะมีกำไร (ทางบัญชี) แต่ธุรกิจหลักก็ยังขาดทุน ขณะที่คู่แข่งอย่าง Lyft นั้น HSBC ได้คาดการณ์ในบทวิเคราะห์ของ Lyft โดยคาดว่าบริษัทจะอยู่ในจุดคุ้มทุนคือในปี 2023 ซึ่งคาดว่า Uber ก็อาจไม่ได้แตกต่างกัน
สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากนี้คือนักลงทุนที่เน้นชอร์ตหุ้นเหล่านี้มีมุมมองว่าหุ้นกลุ่มนี้มีมูลค่าแพงและควรจะกลับมาที่ราคาที่ควรจะเป็น โดย Lyft เป็นรายแรกที่ได้รายงานงบการเงินว่าไตรมาสแรกบริษัทขาดทุนไป 1,140 ล้านเหรียญสหรัฐ ยิ่งทำให้นักลงทุนที่เน้นชอร์ตหุ้นชื่นชอบ เพราะราคาหุ้นสามารถลงได้อีก
นอกจากนี้ยังคาดว่าไตรมาส 1 นี้ Uber จะกลับมาขาดทุนอีกรอบ ราคาหุ้นอาจลดลงทำให้มูลค่าบริษัทก็ลดลงตามอีก
เสี่ยงโดนฟ้อง
Uber อาจมีความเสี่ยงในกรณีนักลงทุนความมั่งคั่งสูงฟ้องร้องบริษัทรวมไปถึงผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ ได้แก่ Morgan Stanley (คล้ายกับกรณีของ Lyft) เนื่องจากบริษัทแนะนำให้ลูกค้าซื้อหุ้น Uber ก่อนที่จะเข้าตลาดในช่วงปี 2016 ซึ่งราคาเฉลี่ยแพงกว่าราคาปัจจุบันอีกด้วย แถมยังไม่สามารถขายหุ้นในระยะเวลา 6 เดือนอีกด้วย ยิ่งถ้าหากหุ้นโดนชอร์ตอีก แน่นอนว่านักลงทุนกลุ่มนี้อาจไม่พอใจสิ่งที่เกิดขึ้น
ไม่เพียงแค่นักลงทุนที่อาจฟ้องได้ แต่ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทยังโดนฟ้องจากคนขับเรื่องการลดรายได้คนขับลง เนื่องจากค่าใช้จ่ายเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้บริษัทยังขาดทุนมาก รวมไปถึงความพยายามที่จะพัฒนารถยนต์ไร้คนขับ เพื่อที่จะไม่ต้องจ่ายค่าใช้จ่ายเหล่านี้ แม้ว่าบริษัทจะกล่าวว่าบริษัทให้ความสำคัญกับคนขับเหล่านี้ก็ตาม
สภาวะตลาดและความท้าทายหลังจากนี้
ไม่เพียงแค่นั้นสภาวะตลาดหุ้นก็กำลังประสบความกังวลเรื่องสงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนกลับมาปะทุอีกรอบในวันเดียวกับ Uber เข้าตลาด ทำให้สภาวะตลาดไม่เอื้ออำนวยเท่าไหร่นัก นอกจากนี้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมักจะเป็นเป้าแรกๆ ที่นักลงทุนโดยเฉพาะฝั่งสถาบันการเงินขายออกมา ถ้าหากสภาวะตลาดไม่เป็นใจ
ความเกี่ยวข้องกับเรื่องที่จะเกิดขึ้นตามมาคือ หุ้นกลุ่มบริษัทเทคโนโลยีที่ตั้งเป้าจะ IPO เช่น Slack และรวมไปถึง WeWork ซึ่งมีผู้ถือหุ้นรายใหญ่คือ SoftBank Vision Fund เช่นเดียวกับ Uber รวมไปถึงบริษัทอื่นๆ อาจต้องชะลอการ IPO เข้าตลาดหลักทรัพย์ไปสักพักใหญ่ เนื่องจากสภาพตลาดที่ได้กล่าวไป รวมไปถึงบทเรียนหลังจากเข้าตลาดไปแล้วอาจเป็นเหมือน Uber และ Lyft ได้
อย่างไรก็ดี Dara Khosrowshahi ซึ่งเป็น CEO ของบริษัทได้กล่าวว่าบริษัทจะไม่มองผลประโยชน์ในระยะใกล้ๆ (เช่น กำไรขาดทุนในแต่ละไตรมาส) นอกจากนี้ในช่วงการเดินสายพบนักลงทุน เขายังมอง Uber เป็นเหมือน Amazon ในช่วงแรกๆ ของบริษัทด้วยซ้ำที่ยังขาดทุนและนำเงินไปลงทุนในธุรกิจอื่นๆ ที่ภายหลังสร้างกำไรให้บริษัทในระยะยาว
ท้ายที่สุดแล้วนักลงทุนจะให้คำตอบเหล่านี้แก่บริษัทในระยะยาวว่าจะเป็นเช่นไร
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา