Trump กดดัน Lockheed Martin สำเร็จ ยอมลดราคาเครื่องบินรบ F-35

คนที่ตามข่าวอาวุธยุทโธปกรณ์ โดยเฉพาะเครื่องบินรบ คงทราบกันดีว่า F-35 เครื่องบินขับไล่รุ่นใหม่ล่าสุดของกองทัพสหรัฐอเมริกา เป็นโครงการพัฒนาอาวุธที่งบประมาณบานปลายมากที่สุดในประวัติศาสตร์

โครงการเริ่มพัฒนาตั้งแต่ปี 1996 และล่าช้ายาวนานมาจนถึงปัจจุบัน โดยรวมแล้วรัฐบาลสหรัฐหมดเงินกับโครงการนี้ไปแล้ว 3.8 แสนล้านดอลลาร์ (13.5 ล้านล้านบาท) และบริษัท Lockheed Martin ผู้ผลิตเครื่องบินรบรุ่นนี้ก็โดนวิจารณ์อย่างหนักมาโดยตลอด

Lockheed Martin F-35 (ภาพจาก Lockheed Martin)

ปัจจุบันต้นทุนค่าผลิตเครื่องบิน F-35A รุ่นย่อยที่ราคาถูกที่สุดคือลำละ 98 ล้านดอลลาร์ (3.5 พันล้านบาท ราคานี้ไม่รวมเครื่องยนต์) และราคาเครื่องรุ่น F-35C จะแพงขึ้นเป็น 116 ล้านดอลลาร์ (4.1 พันล้านบาท ไม่รวมเครื่องยนต์)

ราคานี้ถือเป็นต้นทุนผลิตเครื่องบินล็อตหลังๆ (นับเป็นล็อตที่เจ็ดแล้ว) ซึ่งถูกกว่าเครื่องรุ่นแรกๆ ที่ลำละ 200 ล้านดอลลาร์

แต่ล่าสุด Lockheed Martin ก็โดนอัดเข้าอีกครั้ง เมื่อว่าที่ประธานาธิบดี Donald Trump ออกมาทวีตวิจารณ์โครงการนี้เมื่อปลายปีที่แล้วว่า F-35 งบประมาณบานปลายมาก และเขาได้ขอให้คู่แข่ง Boeing ลองเสนอราคาของเครื่องบินรุ่นเก่ากว่าคือ F-18 Super Hornet มาเปรียบเทียบดู

แน่นอนว่าทวีตวิจารณ์ของว่าที่ประธานาธิบดีคนต่อไป ย่อมส่งผลสะเทือนต่อ Lockheed Martin ถึงขั้นว่า Marillyn Hewson ซีอีโอของบริษัทต้องรีบเข้าพบ Trump เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา

ผลการประชุมระหว่าง Lockheed Martin กับ Trump ได้ข้อสรุปว่าบริษัทจะปรับลดราคาเครื่องบินให้ต่ำที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

นอกจากนี้ Hewson ยังสัญญากับ Trump ว่าจะจ้างงานในโรงงานผลิตเครื่องบินที่รัฐเท็กซัสเพิ่มอีก 1,800 ตำแหน่ง ซึ่งก็ตรงกับความต้องการของ Trump ในการสร้างงานในสหรัฐอเมริกาให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

กลยุทธ์ของ Donald Trump ช่วงก่อนรับตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการในวันที่ 20 มกราคมนี้ คือการเจรจากับผู้นำธุรกิจขนาดใหญ่ทั้งจากสหรัฐอเมริกา และธุรกิจจากต่างประเทศ เพื่อให้จ้างงานในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้น ซึ่งบริษัทส่วนใหญ่ก็มักรับปาก เพราะต้องการเอาใจประธานาธิบดีคนใหม่ Trump หรือไม่ก็ถูกบีบให้ต้องรับปาก ดังเช่นกรณีของ Lockheed Martin ที่ Trump บลัฟก่อนด้วยการพูดถึงบริษัทคู่แข่งให้สาธารณชนรับทราบ

อย่างไรก็ตาม ในทางปฏิบัติแล้วต้องรอดูกันต่อไปว่า บริษัทเหล่านี้จะให้เพียงสัญญาลมปากกับ Trump ว่าจะจ้างงานจำนวนมาก แต่เอาเข้าจริงแล้วก็ไม่ได้เปลี่ยนอะไรไปจากเดิมหรือไม่

ที่มา – Bloomberg, Reuters

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา