ทรู เปิดผลประกอบการไตรมาส 2/2566 รายได้ 39,431 ล้านบาท (ไม่รวมค่า IC) ขาดทุนสุทธิ 2,320 ล้านบาท

ทรู คอร์ปอเรชั่น เผยไตรมาส 2/2566 รายได้จากบริการไม่รวมค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (IC) จำนวน 39,431 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.1% เทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา EBITDA อยู่ที่ 22,320 ล้านบาท ขาดทุนสุทธิ จำนวน 2,320 ล้านบาท มีจำนวนลูกค้ามือถือรวม 51.1 ล้านเลขหมาย เพิ่มขึ้น 1.3%

มนัสส์ มานะวุฒิเวช ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ทรู คอร์ปอเรชั่น และ ดีแทค หลังจากควบรวมกันมา 4 เดือน การดำเนินการยังเป็นไปตามแผนงานสามารถเพิ่มประสิทธิภาพของการลงทุนและประหยัดได้ประมาณ 3 พันล้านบาทภายหลังจากการควบรวมกิจการ ลูกค้าของแบรนด์ดีแทค และทรูได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้นจากกลุ่มผลิตภัณฑ์และบริการที่หลากหลาย ซึ่งนำไปสู่การเติบโตของการขายสินค้าหรือบริการที่เกี่ยวเนื่อง (cross-selling) ในแต่ละเดือน มียอดผู้ใช้งานมากกว่า 29 ล้านรายได้รับประโยชน์จากความหลากหลายของคลื่นความถี่ เครือข่ายที่กว้างขึ้น และได้รับประสบการณ์ที่ดีขึ้นจากการใช้บริการข้ามโครงข่ายโทรศัพท์เคลื่อนที่ภายในประเทศ ทั้งนี้ จากการพัฒนาเครือข่ายดังกล่าว ผู้ใช้แบรนด์ดีแทคได้ใช้บริการ 5G เร็วขึ้น 2.3 เท่า และมีการใช้งาน 5G สูงขึ้น 12%

ชารัด เมห์โรทรา รองประธานคณะผู้บริหาร บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ดีแทคและทรูเป็นแบรนด์ผู้ให้บริการมือถือที่แข็งแกร่ง โดยยังคงเป็นผู้นำในการให้บริการซิมสำหรับกลุ่มนักท่องเที่ยวและแรงงานต่างด้าว ซึ่งออกแบบการให้บริการโดยเฉพาะสำหรับกลุ่มเป้าหมาย รวมทั้งการนำเสนอคอนเทนท์ ความบันเทิง และการใช้งานโซเชียลมีเดีย พร้อมกับข้อเสนอต่างๆ ที่น่าสนใจ ทั้งนี้ ยอดการทำธุรกรรมภายใต้โปรแกรมสิทธิพิเศษเพิ่มขึ้น 17% เทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากแนวคิดชีวิตดีกว่า เมื่อมีกันและกัน (Better Together) ส่งผลให้การรักษาลูกค้ากลุ่มที่ใช้บริการแพ็คเกจที่มีอัตราค่าบริการในระดับสูง (high-tier) เพิ่มขึ้น 9% เทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา โดยไตรมาส 2/2566 ทรู คอร์ปอเรชั่นมีฐานผู้ใช้งานดิจิทัลสูงถึงประมาณ 14 ล้านราย

ในช่วงไตรมาสที่ 2 ผู้ใช้บริการมือถือเพิ่มขึ้น 659,000 หมายเลข ทำให้มียอดลูกค้ามือถือจำนวนรวมทั้งสิ้น 51.1 ล้านหมายเลข โดยเพิ่มขึ้น 1.3% จากไตรมาสที่ผ่านมา ผู้ใช้งาน 5G มีจำนวนถึง 8.3 ล้านคน เพิ่มขึ้น 32% จากไตรมาสที่ 1/2566 โดยมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในด้านการใช้งานและการเพิ่มขึ้นของ ARPU 10-15% โดยสาเหตุหลักมาจากการจำหน่ายอุปกรณ์สื่อสารพร้อมบริการ โดยสิ้นไตรมาส 2/2566 การให้บริการ 4G ครอบคลุม 99% ของประชากร และ 5G ครอบคลุม 90% ของประชากร ตามลำดับ

นกุล เซห์กัล หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านการเงิน (ร่วม) บริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การเติบโตของรายได้จากการให้บริการธุรกิจมือถือและบรอดแบนด์ส่งผลให้มีการเติบโตของรายได้จากการให้บริการรวมเพิ่มขึ้น 1.1% เทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา (QoQ) โดยรายได้จากบริการมือถือเพิ่มขึ้น 0.8% (QoQ) จากจำนวนผู้ใช้บริการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องและการฟื้นตัวของ ARPU รายได้จากบริการบรอดแบนด์เพิ่มขึ้น 3.2% (QoQ) โดยได้แรงหนุนจาก ARPU ที่เพิ่มขึ้นจากการปรับตัวของการแข่งขันในตลาด โดยมุ่งเน้นการเพิ่มคุณภาพของการได้มาซึ่งผู้ใช้งานใหม่ และการเพิ่มโอกาสจากการขายพ่วงหลังจากการรวมธุรกิจ รายได้จากการขายผลิตภัณฑ์ลดลง 28.5% (QoQ) เนื่องจากยอดขายที่ลดลงตามฤดูกาล ส่งผลให้รายได้รวมลดลง 4.6% (QoQ)

ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) ทั้งหมด ไม่รวมค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่าย (D&A) ลดลง 16.7% เทียบกับไตรมาสที่ผ่านมา (QoQ) จากมาตรการดำเนินการที่มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง และการรับรู้ผลประโยชน์จากการควบรวมในระยะสั้น ในส่วน EBITDA สำหรับไตรมาสนี้ดีขึ้น 14.7% โดยเป็นผลจากรายได้จากการให้บริการที่เพิ่มขึ้น การลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (OPEX) และผลกระทบเชิงบวกสุทธิจากการกลับรายการตั้งสำรองเนื่องมาจากการยุติข้อพิพาทในไตรมาส 1/2566 รายงานผลขาดทุนสุทธิหลังหักภาษีจำนวน 2,320 ล้านบาท ซึ่งได้รับผลกระทบจากผลกระทบที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว (one-time effect) จากการกลับรายการสินทรัพย์ภาษีเงินได้รอการตัดบัญชีของผลขาดทุนยกมาของ บริษัท ดีแทค ไตรเน็ต จำกัด หรือ DTN เนื่องจากความเป็นไปได้ในการปรับโครงสร้างธุรกิจภายใต้กลุ่มบริษัท และค่าใช้จ่ายเพื่อให้ได้มาซึ่งประโยชน์จากการควบรวม (Integration cost) จำนวนประมาณ 250 ล้านบาท โดยขาดทุนสุทธิยังได้รับผลกระทบจากค่าเสื่อมราคาและค่าตัดจำหน่ายที่สูงขึ้นจากการขยายโครงข่าย CAPEX สำหรับไตรมาส 2/2566 จำนวน 3,435 ล้านบาท ได้รับประโยชน์จากประสิทธิภาพที่เพิ่มขึ้นภายหลังจากการควบรวม

สำหรับการคาดการณ์ในปี 2566 บมจ. ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้ปรับปรุงแนวโน้มสำหรับปี 2566 ซึ่งคิดเป็นระยะเวลา 10 เดือนของการดำเนินงานนับจากวันที่ควบรวมกิจการเสร็จสิ้น โดยคาดว่า EBITDA จะมีการเติบโตที่เป็นตัวเลขหลักเดียวในระดับต่ำปานกลาง (low-to-mid single digit) ในขณะที่ยังคงแนวโน้มที่ทรงตัวสำหรับรายได้จากการให้บริการไม่รวมรายได้ค่าเชื่อมต่อโครงข่าย (IC) ทั้งนี้ เงินลงทุน หรือ CAPEX ประมาณการณ์ไว้ที่ 25,000 – 30,000 ล้านบาท ตามที่เคยประกาศไว้

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา