วิเคราะห์ True กางไพ่เด็ดหลังควบรวม ผสาน 2600+2300MHz เกมใหม่ 5G ด้วยจุดเด่น “คลื่นความถี่” ที่กว้างกว่า

การประกาศทดสอบ Proof of Concept (POC) รวมคลื่น 5G บนย่าน 2600 MHz และ 2300 MHz ของ ทรู คอร์ปอเรชั่น ถือเป็นความเคลื่อนไหวเชิงเทคนิคที่สำคัญที่สุดครั้งหนึ่งหลังการควบรวมกิจการกับดีแทค และสะท้อนภาพการแข่งขันในสมรภูมิโทรคมนาคมไทยที่จะเปลี่ยนไปนับจากนี้

นี่ไม่ใช่แค่การ “UP สัญญาณ” ตามสโลแกนการตลาด แต่คือการ “Unlock” สินทรัพย์ล้ำค่าที่ได้มาจากการควบรวมอย่างแท้จริง Brand Inside ชวนวิเคราะห์ความหมายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังการประกาศครั้งนี้

เบื้องหลังตัวเลข 80% นี่คือ ‘Synergy’ ที่แท้จริงของการควบรวม

สิ่งที่ทรูนำเสนอคือการทำ Carrier Aggregation (CA) หรือการ “มัดรวม” คลื่นสองย่านความถี่เข้าด้วยกัน ได้แก่ คลื่น 2600 MHz ที่ทรูเป็นเจ้าของอยู่ 90 MHz และคลื่น 2300 MHz ที่ดีแทคถือครอง (ในสัญญากับ NT) อีก 60 MHz

ผลลัพธ์ที่ได้ ทรูบอกว่า “แรงกว่าเดิม 80%” คือการแสดงให้เห็นถึงศักยภาพของ “ท่อส่งข้อมูล” (Data Pipe) ที่กว้างมหาศาล ซึ่งเกิดจากการรวมแบนด์วิธของทั้งสองย่านเข้าด้วยกัน นี่คือสิ่งที่คู่แข่งไม่สามารถทำได้ในลักษณะเดียวกัน

ก่อนหน้านี้ ทรูระบุว่าการเปิดใช้ 5G คลื่น 2600 MHz แบบเต็มแบนด์วิธ 90 MHz (หลังจากทยอยเปิด) ก็ให้ประสิทธิภาพดีขึ้นราว 50% อยู่แล้ว การนำคลื่น 2300 MHz มารวมอีกทอด จึงเป็นการต่อยอดความได้เปรียบด้านคลื่นความถี่ที่ชัดเจน

นี่คือ “Synergy” ที่จับต้องได้มากกว่าแค่การลดเสาสัญญาณซ้ำซ้อน เพราะมันคือการนำ “สินทรัพย์คลื่นความถี่” ของทั้งสองค่ายมาใช้ประโยชน์ร่วมกันเพื่อสร้างความได้เปรียบในการให้บริการ

สมรภูมิ 5G ยุคถัดไป ไม่ใช่แค่ “มี” แต่ต้อง “กว้าง”

ที่ผ่านมา การแข่งขัน 5G ในไทยอาจวัดกันที่ “ความครอบคลุม” (ใครมี 700 MHz มากกว่า) หรือ “ความเร็ว” (ใครมี 2600 MHz) แต่การขยับของทรูครั้งนี้กำลังจะเปลี่ยนกติกาของเกม

ในยุคที่ 5G ถูกใช้งานหนักขึ้น ทั้งจากผู้บริโภคที่ต้องการสตรีมมิ่งความละเอียดสูง, เล่นเกม Cloud Gaming, และการใช้งาน AR/VR ในอนาคต ไปจนถึงภาคอุตสาหกรรมที่ต้องการ 5G ที่เสถียรและมีความหน่วงต่ำ (Low Latency) “ความกว้างของแบนด์วิธ” คือหัวใจสำคัญ

การที่ทรูมีคลื่น TDD (ซึ่งเหมาะกับการรับ-ส่งข้อมูลปริมาณมาก) สองย่านหลักอย่าง 2600 MHz และ 2300 MHz และสามารถรวมมันเข้าด้วยกันได้ ทำให้ทรูมีศักยภาพในการสร้าง “Super Highway” สำหรับ 5G ที่กว้างมาก

โจทย์ใหญ่ของคู่แข่ง และอนาคตอุตสาหกรรม

การเดินเกมนี้ของทรู คือการโยนโจทย์ใหญ่กลับไปให้คู่แข่งอย่าง AIS อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ปัจจุบัน AIS ถือครองคลื่น 2600 MHz อยู่ 100 MHz ซึ่งถือว่ากว้างที่สุดในย่านเดียว และเป็นจุดแข็งหลักในการทำตลาด 5G มาตลอด แต่เมื่อทรูสามารถรวม (90+60) MHz ก็เท่ากับว่าทรูมี “หน้าตัก” คลื่นในย่าน TDD ที่พร้อมใช้งานมากกว่า

สมรภูมิต่อจากนี้ จึงเป็นการต่อสู้กันด้วย “เทคโนโลยีการรวมคลื่น” (CA) และ “การบริหารจัดการคลื่น” (Spectrum Management) มากขึ้น

AIS อาจต้องเร่งการทำ CA ระหว่าง 5G กับคลื่น 4G ที่ตนมี (เช่น 2100 MHz, 1800 MHz) ให้มีประสิทธิภาพสูงสุด หรือมองหาเทคโนโลยีอื่นมาสู้ เพื่อรักษาตำแหน่งผู้นำด้านประสบการณ์การใช้งาน

จาก ‘One Network’ สู่ ‘One Spectrum Advantage’

ประเทศ ตันกุรานันท์ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ของทรู ระบุชัดเจนว่ากลยุทธ์ ‘One Network’ หรือการรวมเสาและโครงสร้างพื้นฐานเสร็จสมบูรณ์แล้ว การทดสอบ POC ครั้งนี้จึงเปรียบเสมือน “เฟส 2” ของการควบรวม

เฟสแรกคือการ “Roaming” หรือที่เรียกว่า ‘Spectrum Pooling’ ให้ลูกค้าทรูและดีแทคใช้งานคลื่นของอีกฝ่ายได้ แต่เฟสนี้คือการ “Combine” หรือการหลอมรวมคลื่นให้กลายเป็นหนึ่งเดียวเพื่อประสิทธิภาพสูงสุด

ส่วน 3 กลยุทธ์หลักที่ คูรัม อัชฟาค หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านเครือข่าย ของทรู นำเสนอ (Reliability, Superiority, Innovation) แม้จะเป็นถ้อยคำเชิงกลยุทธ์ที่ทุกค่ายต้องมี แต่การนำ AI มาใช้มอนิเตอร์เครือข่ายเชิงคาดการณ์ (Predictive Monitoring) ถือเป็นส่วนสำคัญที่จะทำให้ “Reliability” (ความน่าเชื่อถือ) เกิดขึ้นได้จริง ท่ามกลางเครือข่ายที่ซับซ้อนขึ้นมหาศาลหลังการรวมกัน

สิ่งที่ผู้บริโภคและประเทศไทยจะได้รับ

ในระยะสั้น นี่คือการทดสอบ POC ประสบการณ์จริงของผู้บริโภคอาจยังไม่เปลี่ยนแปลงในทันที และจะขึ้นอยู่กับ 2 ปัจจัยหลัก:

  1. การขยายผลในเชิงพาณิชย์ ทรูจะนำเทคโนโลยีนี้ไปใช้จริงในพื้นที่ใดบ้าง และเมื่อไหร่
  2. อุปกรณ์ที่รองรับ สมาร์ทโฟน 5G ที่อยู่ในมือผู้บริโภค ต้องรองรับการทำ CA ด้วย ซึ่งอาจจำกัดอยู่ในรุ่นใหม่ๆ

อย่างไรก็ตาม ในภาพรวม การแข่งขันเพื่อชิงความเป็นหนึ่งด้าน “คุณภาพเครือข่าย” โดยใช้เทคโนโลยีและคลื่นความถี่เข้าสู้ ย่อมเป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคและประเทศ

เมื่อผู้ให้บริการรายหนึ่งขยับ อีกรายย่อมต้องขยับตาม การแข่งขันที่เข้มข้นในเชิงคุณภาพนี้ จะผลักดันให้มาตรฐานบริการ 5G ของไทยสูงขึ้น ซึ่งเป็นโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่สำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

ส่วนแคมเปญการตลาดอย่าง ‘POWER UP NATION’S SMILE’ ที่ กิตติพงษ์ วีระเตชะ หัวหน้าคณะผู้บริหารด้านแบรนด์และมีเดีย กล่าวถึงคือ “เปลือกนอก” ที่ใช้สื่อสารกับมวลชน แต่ “แก่นแท้” ที่กำลังเกิดขึ้นคือการต่อสู้ทางเทคนิคในระดับโครงข่าย ที่จะตัดสินว่าใครคือ “ผู้นำตัวจริง” ในสมรภูมิ 5G หลังยุคควบรวม

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา