เมื่อนึกถึงกลุ่มเอเจนซีโฆษณาระดับโลกที่ติด Top 10 และได้ชื่อว่าเป็น The Disruption Company มีนวัตกรรมเป็นจุดแข็ง และมีครีเอทีฟมากที่สุด หลายคนต้องนึกถึง TBWA ด้วยการเครือข่ายใน 95 ประเทศกับพนักงานที่มีความคิดสร้างสรรค์กว่า 11,000 คน นี่คือสิ่งที่ประกาศถึงความแข็งแกร่งได้เป็นอย่างดี
และครั้งนี้ brand inside ได้พูดคุยกับ ทรอย รูฮาแนน (Troy Ruhanen) CEO ของ TBWA\Worldwide เกี่ยวกับมุมมองต่อโลกในยุคเปลี่ยนผ่าน การได้ชื่อว่าเป็น The Disruption Company ในยุคที่ทุกคนพูดถึงแต่เรื่อง Disrupt ต่อด้วยการเข้ามาของ AI ที่กำลังเปลี่ยนทุกอย่างไปจากเดิม และคาดการณ์โลกแห่งโฆษณาในอนาคตที่จะมาถึง
รู้จักการเปลี่ยนแปลง เพื่อพร้อม Disrupt ตัวเอง
สิ่งหนึ่งที่ยืนยันถึงผลงานของ TBWA คือ การได้รับรางวัล Adweek’s Global Agency of the Year ในปี 2561, 2564 และ 2565 และยังเป็นหนึ่งในสุดยอดองค์กรสร้างสรรค์จาก Fast Company ติดต่อกัน 5 ปี ระหว่างปี 2562-2566 สิ่งที่ทำให้ TBWA ได้รับรางวัลอย่างต่อเนื่อง ทรอย บอกว่า เพราะ TBWA รู้จักที่จะ Disrupt ตัวเอง เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม ถือเป็น DNA ของคนที่นี่คือรู้จัก และพร้อมเปลี่ยแปลงเป็นนิสัย
TBWA ไม่รอให้สถานการณ์บังคับ แต่เลือกที่จะเปลี่ยนแปลงด้วยตัวเอง ดังนั้นในช่วงโควิดที่หลายองค์กรทั่วโลกต้องเปลี่ยนแปลงจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้น มีความยากลำบากและท้าทายอยู่ความอยู่รอด แต่สำหรับ TBWA กลายเป็นช่วงเวลาที่ดีในการ Disrupt ตัวเอง
สิ่งสำคัญยิ่งกว่าคือ TBWA ไม่ได้ Disrupt แค่ตัวเองเท่านั้น แต่ยังส่งต่อองค์ความรู้และวิธีการ Disrupt ไปยังลูกค้าของ TBWA เพื่อให้มั่นใจว่า ลูกค้าได้รับสิ่งที่ดีที่สุดจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น หนึ่งในตัวอย่างคือ การใช้เทคโนโลยี AI เข้ามาช่วยบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพถือเป็นสิ่งที่ TBWA สามารถทำได้อย่างดี ดังนั้นไม่ต้องแปลกใจที่ TBWA จะได้ชื่อว่าเป็น The Disruption Company
Keywords สู่ความสำเร็จกับ Share-Speed-Scale
ทรอย บอกว่า หนึ่งในจุดแข็งของ TBWA คือ การมีเครือข่ายพนักงานที่มีความคิดสร้างสรรค์อยู่ใน 95 ประเทศทั่วโลก ทำให้มีขุมกำลังทางสมองที่พร้อมจะสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ตลอดเวลา จึงเป็นที่มาของคีย์เวิร์ดสำคัญ คือ Share-Speed-Scale ที่คน TBWA ยึดถือปฏิบัติโดยตลอด
ดังนั้นเมื่อพบว่ามีไอเดีย มีแนวคิด มีนวัตกรรมเกิดขึ้น สิ่งที่จะต้องทำทันทีคือการ Share ออกไปในวงกว้าง สิ่งที่พบคือ หลายครั้งไอเดียดีๆ เกิดขึ้นจากประเทศเล็กๆ และสามารถพัฒนาเป็นนวัตกรรมหรือ Innovation ซึ่งทำอย่างรวดเร็วโดยไม่รอช้า นั่นคือ Speed และสามารถนำไปใช้ได้ผลจริงในอีกหลายประเทศ นั่นคือการขยายผลสู่ระดับโลกหรือ Scale
TBWA เชื่อมทั้งโลกเข้าด้วยกันทุกสาขาเป็น Partner ที่พร้อมช่วยเหลือ ใส่พลังความเป็น Local แล้วส่งต่อไปยังประเทศอื่นๆ เกิดการผสมผสานองค์ความรู้ สิ่งนี้ทำให้พบว่า TBWA ในภูมิภาคเอเชีย 12 ประเทศ สามารถสร้างรายได้จากการทำงานด้าน Innovation ได้ถึง 35% ซึ่งเป็นสัดส่วนที่ไม่เคยมีเมื่อ 5 ปีก่อน
ทรอย ยังบอกอีกว่า กลุ่มประเทศในเอเชีย มีความสามารถในการปรับตัวที่รวดเร็วมาก และมีความคิดสร้างสรรค์ที่วิเศษซึ่งแตกต่างจากภูมิภาคอื่นของโลก โดยเฉพาะเรื่องของ Mobile, Online, eCommerce, Game หรือ TikTok เพราะคนในภูมิภาคเอเชียมีความคุ้นเคยและใช้งานมากกว่าภูมิภาคอื่นๆ เยอะมาก และสามารถส่งต่อองค์ความรู้นี้ไปยังภูมิภาคอื่นได้ แต่ในเอเชีย กลับขาดสิ่งที่เรียกว่า Confident หรือความมั่นใจที่จะประกาศว่า นี่คือผลงานของเรา ซึ่งจะช่วยสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นได้อีกมาก
เข้าสู่ยุค Creative+Performance Marketing
ทรอย พูดถึงภาพรวมว่า ช่วงที่ผ่านมาแนวคิดเรื่อง Performance Marketing หรือการทำตลาดที่วัดผลได้แน่นอนชัดเจน ได้รับความนิยมอย่างมาก แต่กลับทำให้ Creative Marketing ลดบทบาทลงไป แต่ปัจจุบันเรากำลังเข้าสู่จุดที่เรียกว่า Content มีมากเกินไป ทำให้ความน่าสนใจลดน้อยลง และนั่นคือจุดเปลี่ยนที่จะทำให้ Creative Marketing กลับมามีบทบาทมากขึ้น
แต่ไม่ได้หมายความว่า Performance Marketing จะไม่สำคัญ เพราะด้วยเครื่องมือต่างๆ ที่มีในปัจจุบัน ทำให้เอเจนซีต้องใส่พลังสร้างสรรค์ผลงานด้วยแนวคิด Creative Marketing มากขึ้น และใช้เครื่องมือที่มีในการวัดผลแบบ Performance Marketing ด้วยเช่นเดียวกัน
หนึ่งในสิ่งที่เอเจนซีต้องเร่งคือ การดึงดูดคนเก่งๆ รุ่นใหม่เข้ามาร่วมงานให้มากขึ้น ต้องมีการสร้างสรรค์ Iconic Work เพื่อทำให้คนเก่งๆ อยากเข้ามาร่วมพัฒนาวงการเอเจนซีและโฆษณาเพราะต้องไม่ลืมว่า หากไม่มีอุตสาหกรรมโฆษณา จะส่งผลกระทบต่อ GDP ถึง 20% เป็นตัวเลขที่สร้างผลกระทบอย่างมาก
AI, Data สิ่งที่ “คน” ต้องใช้งาน
แน่นอนว่าเรื่องของ AI และ Data ถูกพูดถึงในทุกอุตสาหกรรม รวมถึงอุตสาหกรรมโฆษณาที่ได้รับผลกระทบไปเต็มๆ ทรอย ให้ความเห็นว่า เอเจนซีต้องใช้ Data ในการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าให้มากขึ้น และตรงกับความต้องการ โดยการ Personalize ต้องมีความแม่นยำ รู้ว่าควรนำเสนออะไร ให้ใคร ในเวลาไหน ที่ใด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด
และนั่นทำให้ AI มีบทบาทมากขึ้น ในการเป็น Tools ที่เข้ามาช่วยให้คนทำงานได้ดีขึ้น เร็วขึ้น แต่ราคาถูกลง สิ่งสำคัญคือ ทุกคน ทุกบริษัท มี AI ใช้เหมือนกันเหมด ดังนั้นจุดที่จะสร้างความแตกต่างก็อยู่ที่ คน นั่นเอง ที่ต้องใช้ AI และ Data ให้มีประสิทธิภาพที่สุด
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา