ธุรกิจต้นไม้เติบโตหมื่นล้านในสหรัฐฯ อัพราคาอสังหาฯ ใช้แสดงสถานะเศรษฐี

ตลอดสถานการณ์โควิดที่ผ่านมา ตลาดค้าขายต้นไม้ในไทยและต่างประเทศเติบโตขึ้นมาก เพราะคนส่วนหนึ่งหันมาให้ความสนใจกับกระแสการปลูกต้นไม้เป็นงานอดิเรก เนื่องจากต้องการเพิ่มสีสันให้ชีวิตประจำวันเมื่อต้อง Work From Home เป็นหลัก

ขายต้นไม้

มูลค่าตลาดค้าขายต้นไม้และดอกไม้ในสหรัฐอเมริกา

หากลองมาดูในฝั่งตลาดใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกาจะพบว่า มูลค่าตลาดต้นไม้และดอกไม้เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง 

  • ไล่ตั้งแต่ปี 2019 ที่มีมูลค่าตลาด 15.29 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 5 แสนล้านบาท) 
  • ปี 2020 มีมูลค่าตลาด 15.34 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 5.1 แสนล้านบาท) และกลุ่มคนอายุ 18-34 ปีหันมาปลูกต้นไม้ดอกไม้กันมากขึ้นจนมียอดใช้จ่ายต่อครัวเรือนเพิ่มขึ้นถึง 503 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 16,000 บาท)
  • ในปี 2021 ก็มีคาดการณ์ว่ามูลค่าตลาดจะเติบโตสูงถึง 15.61 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 5.2 แสนล้านบาท)

ซึ่งไม้ประดับต่างๆ มีขายอยู่ทั่วไปในเว็บไซต์ Amazon ที่เป็นแหล่งรวมร้านค้าอีคอมเมิร์ซรายใหญ่ โดยมีไม้ประดับที่ขายดี เช่น Monstera Deliciosa ที่สามารถขายได้ในราคาสูงสุดถึง 5,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.6 แสนบาท) และต้นไม้ชนิดนี้เป็นที่นิยมในไทยเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะแบบที่เป็นใบด่างซึ่งแม้สมัย 20-30 ปีที่แล้วจะขายในราคาหลักร้อยหรือหลักพันบาท แต่ปัจจุบันกลับมีราคาสูงสุดแตะหลักแสนบาทเลยทีเดียว

ตัวอย่างต้นไม้และดอกไม้ที่มีมูลค่าสูงติดอันดับโลก

หากพูดถึงต้นไม้ที่มีมูลค่าสูงแล้ว ชื่อแรกๆ ที่หลายคนนึกออกคงหนีไม่พ้น ต้นบอนไซ ซึ่งเคยมีคนซื้อขายกันในราคาสูงถึง 1.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 43 ล้านบาท) โดยราคาของต้นบอนไซนั้นจะปรับสูงขึ้นตามอายุหรือความเก่าแก่ของต้นไม้ คือยิ่งต้นไม้มีอายุยาวนานเท่าไหร่ก็จะยิ่งมีราคาแพงมากขึ้นเท่านั้น

นอกจากนี้ ยังมีดอกกุหลาบ Juliet Rose ที่เคยขายในราคาสูงถึง 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 100 ล้านบาท) ซึ่งกุหลาบพันธุ์นี้ได้รับการเปิดตัวครั้งแรกในปี 2006 ภายในงาน Chelsea Flower Show หลังจากผ่านความพยายามในการผสมพันธุ์ยาวนานถึง 15 ปีโดยคุณ David Austin 

เมื่อเศรษฐีนิยมประดับบ้านด้วยต้นไม้ใหญ่ราคาหลักล้าน

ตอนนี้หลายๆ รัฐในสหรัฐอเมริกามีเทรนด์ว่ามหาเศรษฐีจะสั่งต้นไม้ใหญ่ราคาหลักล้านมาประดับที่บ้านเพื่อเป็นเครื่องแสดงฐานะ โดยเฉพาะต้นไม้หายากในแถบที่พวกเขาอยู่อาศัย 

ตัวอย่างเช่น เศรษฐีคนหนึ่งในลอสแองเจลลิสสั่งซื้อต้นมะกอกอายุ 150 ปีมาจากแคว้นทัสคานี ประเทศอิตาลี หลังจากตามล่าหาต้นไม้ที่อยากได้มาตลอด 1 ปีกว่า หรือในร้านอาหารและโรงแรมบางแห่งก็จะตกแต่งด้วยต้นไม้ใหญ่มูลค่า 25,000-250,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 8.3 แสนถึง 8.3 ล้านบาท) เพื่อทำให้สถานที่ดูมีจุดเด่นมากขึ้น

โดยในสหรัฐอเมริกาจะมีคำเฉพาะที่ใช้เรียกต้นไม้ใหญ่ราคาสูงกลุ่มนี้ว่า Trophy Tree หรือถ้าแปลเป็นไทยก็คือต้นไม้ที่เปรียบเสมือนเป็นรางวัลแก่เจ้าของนั่นเอง ซึ่งการขนส่งต้นไม้ประเภทนี้ก็ค่อนข้างยาก เพราะอาจต้องอาศัยทั้งเรือบรรทุก รถบรรทุก รวมถึงเฮลิคอปเตอร์ และส่วนใหญ่จะขนส่งกันในเวลากลางคืนเป็นหลัก เพื่อไม่ให้ขนาดของต้นไม้ใหญ่ไปขัดขวางการจราจร

ต้นไม้ชั้นดีใช้อัพราคาอสังหาได้ทั้งมือ 1 และมือ 2

นักเศรษฐศาสตร์จากสำนักงานป่าไม้ของสหรัฐอเมริกาอธิบายให้ฟังว่า ต้นไม้สามารถเพิ่มมูลค่าบ้านได้ 5-20% อย่างบ้านที่มีต้นไม้ในเมืองพอร์ตแลนด์ก็สามารถอัพราคาเพิ่มถึง 7,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 230,000 บาท)

นอกจากนี้ Arbor Day Foundation ซึ่งไปสัมภาษณ์เหล่านายหน้าอสังหาริมทรัพย์มา ยังรายงานว่า บ้านที่มีต้นไม้อยู่จะขายออกง่ายขึ้น โดยบ้านราคาต่ำกว่า 150,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 5 ล้านบาท) จะขายง่ายขึ้น 83% ส่วนบ้านราคาสูงกว่า 250,000 ดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 8 ล้านบาท) จะขายง่ายขึ้นถึง 98% เลยทีเดียว

อินฟลูเอนเซอร์สายต้นไม้ก็ได้รับความนิยมไม่แพ้สายอื่นๆ

กระแสคนรักต้นไม้มาแรงถึงขนาดที่ทุกวันนี้มี Plant Influencer แล้ว ตัวอย่างแอคเคาท์ที่มีชื่อเสียง เช่น @Jadesjunglegram ที่มีผู้ติดตามกว่า 27,600 คน หรือแอคเคาท์ @Crazy.plantmama ที่มีผู้ติดตามกว่า 24,500 คน เป็นต้น

สรุป

กระแสการปลูกต้นไม้เป็นเทรนด์ที่น่าจับตามองมากในช่วงหลายปีมานี้ สำหรับใครที่สนใจก็ควรศึกษาหาข้อมูลต้นไม้หรือดอกไม้แต่ละพันธุ์ให้ดี รวมถึงตรวจสอบราคาของต้นไม้จากแต่ละแหล่งให้รอบคอบ เพื่อให้สามารถซื้อมาประดับบ้านได้ในราคาสมเหตุสมผลที่สุด

ที่มา : Dailymail, Urbannest, Realty101, Statista, Seedformations, Bhg, Thespruce (1), (2), (3), Plantedshack, Vice, Treescapes, Countryliving, Technologychaoban, Thairath

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา