ไม่ว่าอากาศจะร้อนแค่ไหน แต่นี่คืออีกช่วงเวลาของการดึงดูดนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะเมืองชายทะเล ไม่ว่าจะเป็นหาดทรายสีขาว เทศกาลหน้าร้อน และอากาศที่สดใส ของช่วงเดือนมิถุนายน – กันยายน
ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ยังได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่อง โดยติด 8 อันดับ จาก 15 ประเทศ ที่เป็นจุดหมายปลายทางยอดฮิตช่วงหน้าร้อน ในรายงาน Travel trends 2025 ของสถาบันวิจัยมาสเตอร์การ์ด แสดงถึงศักยภาพของภูมิภาคนี้ในการดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก
โดยเมืองจุดหมายปลายทางยอดฮิตทั้ง 15 อันดับ ได้แก่
- โตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
- โอซาก้า ประเทศญี่ปุ่น
- ปารีส ประเทศฝรั่งเศส
- เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน
- ปัลมา เดอ มายอร์กา ประเทศสเปน
- โซล ประเทศเกาหลีใต้
- ปักกิ่ง ประเทศจีน
- มาดริด ประเทศสเปน
- รีโอเดจาเนโร ประเทศบราซิล
- สิงคโปร์
- ญาจาง ประเทศเวียดนาม
- เรดยาวิก ประเทศไอซ์แลนด์
- ฟุกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น
- ฮูร์กาดา ประเทศอียิปต์
- ชาร์ม เอล ชีค ประเทศอียิปต์
เวียดนามม้ามืด เมืองญาจางขึ้นแรงค์
แม้หน้าร้อนของญี่ปุ่นจะขึ้นชื่อว่าร้อนไม่แพ้ไทย แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ประเทศท่องเที่ยวที่น่าหลงใหลนี้จะติดอันดับถึง 3 เมืองด้วยกัน
ในปี 2567 เมืองโตเกียวได้อันดับที่ 2 จุดหมายปลายทางยอดฮิตช่วงหน้าร้อน ก่อนจะก้าวขึ้นมาเป็นอันดับ 1 ในปีนี้ ตามมาด้วยโอซาก้า เมืองใหญ่แห่งภูมิภาคคันไซ และ อันดับที่ 13 เมืองฟุกุโอกะ
ที่น่าสนใจคือเมืองญาจาง ประเทศเวียดนาม ได้ติดแรงค์เป็นครั้งแรกในปีนี้ ด้วยชื่อเสียงเรื่องหาดทรายขาว ทิวทัศน์ชายฝั่งที่สวยงาม และ Nightlife ที่มีชีวิตชีวา จึงไม่ใช่เรื่องยากที่ทำให้ญาจางติดอันดับในปีนี้
จีน-อินเดีย ยักษ์ใหญ่การท่องเที่ยว
ไม่ว่าจะเที่ยวที่ไหน เราคงเห็นนักท่องเที่ยวจากจีนและอินเดียกันมากขึ้น ไม่เว้นแม้แต่ในประเทศไทย
นับตั้งแต่ปี 2567 จีนครองแชมป์มีนักท่องเที่ยวเดินทางออกนอกประเทศมากที่สุด ซึ่งพฤติกรรมการเลือกเที่ยวของชาวจีน มักเน้นที่ความคุ้มค่า และขั้นตอนวีซ่าที่ไม่ยุ่งยาก เช่น ญี่ปุ่น มาเลเซีย และสิงคโปร์
ในขณะที่อินเดีย พี่ใหญ่ในเอเชียใต้ ได้ส่งนักท่องเที่ยวสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2567 ต่างกับจีนตรงที่นักท่องเที่ยวอินเดียมีความสนใจในจุดหมายปลายทางที่หลากหลาย
ซึ่งการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวอินเดีย ส่วนหนึ่งมาจากการขยายเส้นทางบินตรงไปต่างประเทศ รวมถึงการเติบโตอย่างรวดเร็วของชนชั้นกลางที่มีกำลังซื้อ
การเที่ยวคือการจ่ายเพื่อซื้อประสบการณ์
หมดยุคของการเที่ยวตามแลนด์มาร์คแบบเดิมๆ เพราะเทรนด์ในปีนี้พบว่าสิ่งที่นักท่องเที่ยวมองหาคือประสบการณ์ที่มีคุณค่าทางใจ ไม่ว่าจะเป็น วัฒนธรรม อาหารการกิน ธรรมชาติ และการดูแลสุขภาพ
เป็นเวลาของเมืองท่องเที่ยวต่างๆ ที่จะงัดเอกลักษณ์ท้องถิ่นมาเป็นจุดขาย สร้างประสบการณ์ที่แตกต่างไม่ซ้ำใคร ให้นักท่องเที่ยวได้ซึมซับกับเสน่ห์ในแต่ละพื้นที่อย่างเต็มที่
แม้จะไม่อยู่ในแรงค์ปีนี้ แต่เรื่องมอบประสบการณ์แก่นักท่องเที่ยว ไทยเองก็ไม่น้อยหน้า โดยประเทศไทยติดหนึ่งในจุดหมายปลายทางของการท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ จากจุดเด่นในการได้ใกล้ชิดธรรมชาติในที่พัก โปรแกรมเพื่อสุขภาพและความสงบทางใจ
กีฬาสร้างรายได้ กระจายสู่ท้องถิ่น
การจัดแข่งขันกีฬาหรือมหกรรมกีฬา รายได้ที่เกิดขึ้นไม่ได้มีเพียงค่าตั๋วเข้าชมเท่านั้น แต่ยังเป็นโอกาสของภาคการท่องเที่ยวอีกด้วย ทั้งค่าโรงแรม ร้านอาหาร ร้านของฝาก หรือสถานที่ท่องเที่ยว
เพียงการจัดกีฬา ก็สามารถดึงดูดเม็ดเงินได้มหาศาล เช่น การเปิดตัวนักเบสบอลญี่ปุ่น Ohtani Shohei ในการแข่ง World Series เพียงงานเดียว ก็มียอดใช้จ่ายของนักท่องเที่ยวญี่ปุ่นพุ่งขึ้นถึง 91% สูงกว่าการใช้จ่ายข้ามประเทศโดยทั่วไปถึง 6 เท่า
ค่าเงินมีผล นักท่องเที่ยวทะลักญี่ปุ่น
หากถามว่าค่าเงินมีผลต่อการตัดสินใจท่องเที่ยวในยุคนี้อย่างไร ญี่ปุ่นคือตัวอย่างที่ดีที่สุดในเคสนี้
การที่ค่าเงินเยนอ่อนค่าตลอดปี 2567 ส่งผลให้นักท่องเที่ยวจีนหลั่งไหลไปญี่ปุ่นมากขึ้นถึง 1.5% แม้ว่าจะอ่อนค่าเพียง 1% ของเงินหยวนก็ตาม
นอกจากนี้ ในปี 2567 นักท่องเที่ยวสิงคโปร์เดินทางมาท่องเที่ยวญี่ปุ่นมากเป็นประวัติการณ์ จากการที่เงินดอลลาร์สิงคโปร์แข็งค่าขึ้น 40% เมื่อเทียบกับเงินเยน
นักท่องเที่ยวต่างชาติในไทยยังลด
แม้จะมีแหล่งท่องเที่ยวชายทะเลมากมาย แต่ประเทศไทยกลับไม่ติดโผในแรงค์นี้
ซึ่งจากรายงานของกสิกรไทยบอกว่า ในไตรมาศแรกนักท่องเที่ยวต่างชาติในไทย มีจำนวน 12.9 ล้านคน ซึ่งลดลง 1% เมื่อเทียบกับปีก่อน
จากอุปสรรคหลายอย่างที่ไทยกำลังเผชิญอยู่ ทั้งเศรษฐกิจโลกชะลอตัว ความสามารถในการแข่งขันด้านการท่องเที่ยวดลดลง พฤติกรรมและรูปแบบการท่องเที่ยวที่เปลี่ยนแปลงไป ตลอดจน ภูมิรัฐศาสตร์
อย่างไรก็ตาม ศูนย์วิจัยกสิกรได้คาดว่า ตลอดปี 2568 นี้ จำนวนนักท่องเที่ยวในไทยอาจลดลงอีกถึง 2.8% ซึ่งจะทำให้รายได้การท่องเที่ยวจากต่างชาติลดลงถึง 3% หรือราว 1.62 ล้านล้านบาท
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา