หลายปีที่ผ่านมา เรียกได้ว่าเศรษฐกิจโลกเจอ “ปีชง” ก็ว่าได้ ทั้งเรื่องเทรนดอกเบี้ยขาลง Brexit, ก่อการร้าย และอีกสารพัด แต่ปีนี้ก็ยังมีปัญหาใหม่ๆ มาให้นักวิเคราะห์และนักลงทุนต้องลับสมองกันอีก โดยเฉพาะเรื่องสงครามการค้า หรือ “Trade War” ที่ไม่ใช่เรื่องของพี่จีนกับพี่สหรัฐฯ แต่สะเทือนไปทั่วปฐพี
Wrap up จุดเริ่มต้น ของ “Trade war”
ต้นตอของเรื่องเริ่มจาก ฝั่ง Donald Trump ประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา สั่งเพิ่มภาษีการนำเข้าเหล็ก และ
อลูมิเนียมจาก สหภาพยุโรป และ สาธารณรัฐประชาชนจีน (จีน)
ทรัมป์ ก็ย้ำชัดๆ ว่าเรื่องนี้ ทำเพื่อ “ปกป้อง” งานของคนอเมริกา ที่สำคัญเรื่องการค้าเสรี เป็นอะไรที่ “เวรี่ เวรี่ แบด” (แย่มากๆ) สำหรับสหรัฐ โดยทรัมป์เรียกค่าภาษีสูงกว่าปีที่ผ่านมามาก ทำให้ทางจีน และสหภาพยุโรปก็ออกมาตรการตอบโต้ทางภาษี ทั้งในรูปแบบภาษีรถยนต์ และ สินค้าเกษตร
นักวิเคราะห์หลายฝ่ายมองว่า ความกังวลเรื่องสงครามการค้าจะลามออกไปทั่วโลก ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อระบบการเงิน ตลาดหุ้น และการค้าในระดับโลก
ทาง WTO (World Trade Organization – องค์การการค้าโลก) บอกว่า กลไกต่างๆ ของโลกตอนนี้ มีความเสี่ยงสูงมาก ทาง WTO ไม่เห็นด้วยกับทรัมป์ที่ว่าการขึ้นภาษีจะช่วยให้ “งาน” ในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเหมือนกับสถานการณ์ในกลุ่มประเทศเกิดใหม่
เพราะหากบริษัทจีน และบริษัทยุโรป โดยเฉพาะภาคการผลิตเพื่อการส่งออกอาหารและรถยนต์ซึ่งที่มีฐานการผลิตอยู่ในสหรัฐได้รับผลกระทบ ก็จะส่งผลกระทบต่อเรื่องไปถึงพนักงานในสหรัฐอยู่ดี
ขณะเดียวกันมองว่าถ้า ภาษีนำเข้าสินค้าจากต่างประเทศถูกลง ประชาชนก็มีโอกาสเข้าถึงสินค้าที่หลากหลายในราคาที่ถูกลงด้วย
ผลกระทบของ Trade War ต่อนักลงทุนและตลาดหุ้น
หลักๆ นักลงทุนกังวลเรื่องมาตรการทางภาษีในแต่ละประเทศ เพราะตั้งแต่ ทรัมป์ ตั้งภาษีนำเข้า ทางจีน แคนนาดา เม็กซิโก รวมถึงยุโรปก็ออกมาตรการภาษีเพื่อตอบโต้ทางการค้า ซึ่งสิ่งที่ทุกคนกำลังจับตามองคือ ในวันศุกร์นี้ถือเป็นวันที่สหรัฐจะเริ่มเก็บภาษีนำเข้าจากสินค้าจีนกว่า 34,000 ล้านเหรียญสหรัฐ
ส่วนด้านราคาหุ้น ต้องยอมรับว่าตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวลดลง เช่น ตลาดหุ้นญี่ปุ่น (NIKKEI) Hong Kong’s Hang Seng Index (HSI) ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ออสเตรเลีย (ASX 200) (SHANGHAI) Korea Stock Exchange (KOSPI) รวมถึง ตลาดหลักทรัพย์เซี่ยงไฮ้ (Shanghai) (ดูภาพประกอบ)
Kristina Hooper chief global market strategist บริษัท Invesco บอกว่า เราไม่ได้หวังว่าตลาดหุ้นจีนจะฟื้นตัว เพราะมองว่าระยะต่อไปจะมีความผันผวนในตลาดมากกว่านี้อีก เพราะหุ้นจีนอาจถูกกดดันจากความขัดแย้งทางการค้าที่ทวีความรุนแรงขึ้น ซึ่งเรายังมองว่าภาวะที่ตลาดหุ้นดัชนีตกลงสะท้อนถึงเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัว
ว่าแต่ทรัมป์จะออกมาตรการอะไร มาคุมคามโลกอีกหรือไม่ ?
นักเศรษฐศาสตร์ ของ Oxford บอกว่า ภัยคุกคามที่กำลังจะเกิดขึ้นคือ หากทั้งทางสหรัฐฯ จีน และยุโรป มีการปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินเค้า จะส่งผลให้ภาษีการนำเข้าระดับโลกเพิ่มขึ้น 4%
“เราคาดว่าในแต่ละวัน ภาษีนำเข้าจะถูกเก็บประมาณ 60,000 ล้านเหรียญสหรัฐต่อวัน ซึ่งคิดเป็น 0.3% ของการค้าโลก และในอนาคตจะเพิ่มขึ้นเป็น 800,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในอนาคต“
ซึ่งหากสงครามการค้ายังบานปลาย น่าจะไปลดการเติบโตของเศรษฐกิจโลกประมาณ 0.4% และลดมูลค่าการค้าในเศรษฐกิจโลกลงด้วย
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา