Toyota อาจปล่อยเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับที่ร่วมพัฒนากับ Uber ให้ Grab และ Ola ใช้งาน

หลังร่วมพัฒนาเทคโนโลยีไร้คนขับกับยักษ์ใหญ่ในธุรกิจบริการร่วมเดินทางอย่าง Uber ทาง Toyota ก็อาจปรับแผนเป็นเปิดให้ผู้ให้บริการร่วมเดินทางรายอื่นเช่น Grab ที่ใหญ่ในอาเซียน และ Ola ในอินเดียไปใช้งานได้ด้วย

Toyota
ภายในของ Toyota Corolla รุ่นใหม่

มีความต้องการเป็นมากกว่าผู้ผลิต

ปฏิเสธไม่ได้ว่า Toyota คืออีกยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมรถยนต์ เพราะมียอดขายกว่า 10 ล้านคันทั่วโลก แถมยังพัฒนาเทคโนโลยีในโลกยานยนต์อย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยภาพรวมอุตสาหกรรมนี้เริ่มเปลี่ยนไป ทำให้ Toyota เริ่มมองช่องทางรายได้ใหม่ๆ และนั่นคือการเข้ามาเป็นทุกอย่างที่เกี่ยวกับการเดินทางมากขึ้น

ทั้งการเป็นหนึ่งในผู้ลงทุนมูลค่ารวมกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 31,000 ล้านบาท) กับ SoftBank และ Denso ในบริษัทลูกของ Uber ที่รับผิดชอบเกี่ยวกับการพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับ นอกจากนี้ Toyota ยังลงทุนใน Grab ยักษ์ใหญ่บริการร่วมเดินทางในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เช่นกัน

รถยนต์ไร้คนขับ
รถยนต์ไร้คนขับของ Uber

แต่ปกติแล้วถึงจะลงทุนข้ามบริษัทกันไปมา ตัวเทคโนโลยีที่บริษัทหนึ่งพัฒนาขึ้นมาก็มักจะไม่ถูกปล่อยให้คู่แข่งที่ทำตลาดบริการคล้ายกัน ซึ่ง Toyota อาจไม่มองเรื่องนั้น เพราะล่าสุดมีแหล่งข่าวที่เกี่ยวกับอุตสาหกรรมยานยนต์รายงานว่า Toyota เตรียมปล่อยเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับที่พัฒนาร่วมกับ Uber ให้กับผู้ให้บริการรายอื่นด้วย

จากเหตุการณ์ดังกล่าวก็มีการคาดการณ์ว่าบริษัทที่จะได้เทคโนโลยีเหล่านี้ไปใช้งานก็มีทั้ง Grab, Ola และอาจเป็น Didi Chuxing ยักษ์ใหญ่จากประเทศจีนด้วยเหมือกัน เพียงแต่รายหลังอาจมีความเป็นไปได้น้อยกว่า เพราะมันคงยากที่เทคโนโลยีที่ถูกพัฒนาโดยสหรัฐอเมริกาจะปล่อยไปที่จีนในเวลานี้

Didi Chuxing
บริการของ Didi Chuxing

อย่างไรก็ตามหาก Toyota เดินหน้ากลยุทธ์นี้จริงก็แสดงให้เห็นว่า Toyota มีความต้องการเป็นมากกว่าแค่ผู้ผลิตรถยนต์ เพราะหากเทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับไปได้ด้วยดี โดยเฉพาะการถูกประยุกต์ใช้งานกับแท็กซี่ไร้คนขับ ตัวรายได้ก็น่าจะหลั่งไหลเข้ามาในบริษัทอย่างมหาศาล

สรุป

เทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับถือเป็นเรื่องใหม่ และยังไม่ได้รับการยืนยันว่าปลอดภัย 100% ดังนั้นหาก Toyota สามารถพัฒนาเรื่องนี้ได้เต็มรูปแบบ โอกาสที่จะขึ้นมาครองตลาด และจับมือกับพาร์ทเนอร์เพื่อให้บริการแท็กซี่ไร้คนขับได้ก็มีสูง แต่นั่นมันคืออนาคตที่อีกกี่ปีก็ยังไม่รู้ ดังนั้นคงต้องติดตามกันต่อไปอย่างไกล้ชิด

อ้างอิง // The Japan Times

ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา