แม้ว่าทุกวันนี้ใครๆ ก็จะพูดกันแต่รถยนต์ไฟฟ้า แต่หนึ่งในเทรนด์ที่เริ่มเห็นชัดคือ รถยนต์ไฟฟ้าเริ่มกระแสตก-ตลาดชะลอตัว ด้วยหลายปัจจัย ไม่ว่าจะเป็นจุดชาร์จไม่พอ ราคาแพงเกินไป และอีกมากมายหลายเหตุผล
Brand Inside เคยรายงานไว้แล้วว่า สองตลาดที่เห็นภาพชัดๆ คือ ‘ยุโรป’ ที่รถยนต์ไฮบริดมาแรงมาก แรงระดับที่สวนทางกับรถยนต์ไฟฟ้าล้วนที่ยอดจดทะเบียนลดลงอย่างเห็นได้ชัด ไม่แรงเหมือน 1-2 ปีก่อนหน้าที่มีกระแสฮิตๆ กัน
หรืออย่างในไทย ถ้าไปดูตัวเลขยอดจดทะเบียนครึ่งปีแรก จะพบว่า
- รถยนต์ไฮบริด มีมากถึง 71,562 คัน หรือคิดเป็นอัตราที่เพิ่มขึ้นถึง 56% จากปีก่อนหน้า
- รถยนต์ไฟฟ้า มียอดจดทะเบียน 36,517 คัน เพิ่มขึ้นประมาณ 15% จากปีก่อนหน้า ค่อนข้างน้อยเมื่อเทียบกับการเติบโตอย่างก้าวกระโดดในปี 2023
Toyota ขอทำสิ่งที่เก่ง ขนไฮบริดบุกตลาด
พอเห็นภาพแบบนี้ ล่าสุด Toyota เลยประกาศเปิดตัวรถยนต์รุ่นหลักในตลาดสหรัฐอเมริกาถึง 26 รุ่นภายในปี 2030
ซึ่งสิ่งที่น่าสนใจคือ กว่าครึ่งของการเปิดตัวนั้นจะเป็น ‘รถยนต์ไฮบริด’
Kevin Butt ผู้บริหารฝั่งอเมริกาเหนือที่ดูแลเรื่องความยั่งยืนของ Toyota บอกว่า แผนของเราคือภายในปี 2030 เราจะทำให้ทุกรุ่นหลักของ Toyota มีทางเลือกที่เป็นไฮบริด
อันที่จริง ถ้าไปดูยอดขายรถยนต์ไฮบริด Camry ในตลาดอเมริกาเหนือของปีนี้ จะพบว่า แค่ครึ่งปีแรก ยอดขายก็พุ่งขึ้นถึง 4 เท่า เพราะขาย Camry รุ่นใหม่ในตลาดนี้ไปมากกว่า 50,000 คันแล้ว
หรือพูดอีกอย่างให้เห็นภาพว่าตลาดรถยนต์ไฮบริดมาแรงแค่ไหน ลองดูตัวเลขของตลาดอเมริกาเหนือในปี 2024 ที่มียอดขายรถยนต์รวมๆ อยู่ที่ 410,000 คัน ในจำนวนนี้ 1 ใน 3 คือยอดขายรถยนต์ไฮบริด ทั้งตลาดโตขึ้น 6% จากปี 2023
มากกว่านั้น ถ้าขยับไปดูรถยนต์ไฮบริดหรูอย่าง Lexus ที่เจ้าของก็คือ Toyota จะพบว่า ได้ครองตลาดรถยนต์ไฮบริดในสหรัฐอเมริกาไว้แล้วถึง 60%
Mike Ramsey แห่ง Gartner บอกว่า ให้รอดูได้เลยว่า อีกไม่นาน ยอดขายรถยนต์ไฮบริดจะแซงหน้ารถยนต์ไฟฟ้าในตลาดสหรัฐอเมริกาอย่างแน่นอน
ส่วนเหตุผลก็ไม่มีอะไรซับซ้อน
- อย่างแรกคือความนิยมของรถยนต์ไฮบริดมาจาก ‘การประหยัดเชื้อเพลิง’ ที่มากกว่ารถยนต์ใช้น้ำมัน
- ในอีกด้าน ราคาของรถยนต์ไฮบริดก็ถูกกว่ารถยนต์ไฟฟ้าประมาณ 20%
- และในมุมของระยะการขับ รถยนต์ไฮบริดก็ทำได้ดีกว่า เพราะไม่ได้มีปัจจัยอย่างสถานีชาร์จมาเป็นข้อจำกัดเหมือนรถยนต์ไฟฟ้าล้วน
ในมุมธุรกิจดูไม่น่ากังวล เพราะที่น่าห่วงคือการเมือง-นโยบาย
นี่คือทิศทางที่ Toyota กำลังมุ่งไปจริงๆ คือการบุกตลาดด้วยรถยนต์ไฮบริดต่อไป ในมุมธุรกิจคู่แข่งอย่าง Honda ก็ยังห่างชั้นกับ Toyota อยู่มากในตลาดรถยนต์ไฮบริด
เพราะตั้งแต่ที่ Toyota คลอด Prius ลูกรักออกมา ตอนนี้ก็ชัดเจนว่า รถยนต์ไฮบริดเป็นทั้งหัวใจ เป็นทั้งกำไร และเป็นทั้งอนาคต (ในด้านหนึ่งก็ต้องยอมรับว่า Toyota ยังทำรถยนต์ไฟฟ้าสู้แบรนด์อย่าง Tesla ไม่ได้ด้วย)
แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงสำหรับ Toyota จริงๆ ในตลาดสหรัฐอเมริกา คือเรื่องการเมือง เรื่องนโยบาย เพราะหากทรัมป์ชนะการเลือกตั้งในปลายปีนี้ และเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา อาจเกิดการเปลี่ยนเชิงนโยบายที่กระทบต่อการทำธุรกิจได้
คือแม้ว่าทรัมป์จะเคยประกาศกร้าวว่า เป็นพวกไม่ชอบรถยนต์ไฟฟ้า (Anti-EV) แต่พักหลังมานี้ ทรัมป์เริ่มสนิทกับ อีลอน มัสก์ เจ้าพ่อรถยนต์ไฟฟ้า ที่ประกาศสนับสนุนทรัมป์ และจะลงเงินเพื่อช่วยเหลือแคมเปญของทรัมป์กว่า 45 ล้านดอลลาร์ หรือประมาณ 1,600 ล้านบาทต่อเดือน (ย้ำว่า ต่อเดือน!)
นี่คือสิ่งที่ต้องติดตามต่อ เพราะแม้ว่า Toyota จะเคยลงเงินกับพรรครีพลับพลิกันมาไม่น้อยในอดีต แต่ก็ไม่ได้การันตีอะไร เพราะอย่าลืมว่าในปี 2017 Toyota ก็เคยทำให้ทรัมป์ไม่พอใจ ที่ย้ายฐานการผลิตไปเม็กซิโก และส่งรถยนต์เข้ามาขายในสหรัฐอเมริกา
ซึ่งเรื่องนี้ ผู้บริหารของ Toyota ก็รู้ตัว และได้ให้สัมภาษณ์กับ Nikkei Asia ไว้ว่า “ถ้าทรัมป์ชนะ และเพิ่มภาษีนำเข้าที่สูงกว่านี้ นั่นจะทำให้ซัพพลายเชนของสหรัฐอเมริกาอาจจะเปลี่ยนครั้งใหญ่ ชนิดหน้ามือเป็นหลังมือเลยก็ได้”
ติดตามข่าวสารจาก Brand Inside ได้จาก Facebook ของเรา